ข้อความต้นฉบับในหน้า
2. ชาวจีนให้เกียรติต่อผู้สูงอายุ ทั้งใช้สรรพนามให้เหมาะสมกับวัย เรียก พี่ ป้า น้า อา
เป็นต้น แม้ต่อคนที่ไม่ใช่ญาติ ดุจธรรมเนียมไทย คนจีนมีลูกหลานแล้ว มักจะไว้หนวดเพื่อ
แสดงว่าตัวแก่แล้ว
3. ชาวจีนให้ความสำคัญต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วจะต้องดูแลสถานที่ที่ฝังศพ
บรรพบุรุษไว้ให้ดี ตลอดทั้งเซ่นไหว้อยู่เสมอ
4. ชาวจีนนิยมยกย่องครูบาอาจารย์ แต่ไม่นิยมยกย่องทหาร ชาวจีนให้ความสำคัญต่อ
ผู้ใช้ความรู้มากกว่าผู้ใช้กำลัง ตามคำสอนของขงจื้อ
5. ชาวจีนไม่ชอบมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล แต่จะพยายามปรองดองกันให้ได้
8.6 สถานที่ทำพิธีกรรม
วัดของศาสนาขงจื้อนั้นก็คือศาลเจ้าของคนจีนนั่นเอง แต่เดิมมาเป็นที่กราบไหว้ฟ้าดิน ลม
ฝน แม่น้ำ ภูเขา ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเทพเจ้าที่ประจำในธรรมชาติ มนุษย์จะต้องให้ความเคารพ
และเซ่นไหว้เพื่อแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อธรรมชาติ ต่อมาความเชื่อในศาสนาขงจื้อได้ถูกนำ
มาประสานกลมกลืนกับศาสนาเต๋า และลัทธิไสยศาสตร์เดิม ๆ ที่เคยนับถือกันมาก่อน จาก
ความเชื่อที่เน้นในคุณค่าของ ธรรมชาติอย่างเป็นเหตุเป็นผลตามแบบศาสนาขงจื้อได้กลาย
เป็นความเชื่อแบบลัทธิวิญญาณนิยม (Animism) ที่อิงอยู่กับไสยศาสตร์ เทพเจ้าในศาลเจ้ามี
จำนวนมากขึ้นและมีอารมณ์ความรู้สึกแบบมนุษย์ที่สามารถให้คุณและให้โทษ ซึ่งมนุษย์จะต้อง
เซ่นไหว้เอาใจใส่อยู่เสมอ ดังนั้นวัดที่สร้างขึ้นมาตามแบบของศาสนาขงจื้อแท้ๆ นั้นแทบจะไม่มี
แต่เท่าที่ปรากฏและเป็นที่รู้จักกันดีคือวัดเหวินเหมียว (wen miao) ในเมืองไทเป ที่ไต้หวัน
ลักษณะของวัดสร้างตามแบบศิลปะจีนที่นิยมตกแต่งตัวอาคารด้วยปูนปั้นที่มีลวดลายวิจิตรพิสดาร
รอบวัดถูกกั้นด้วยกำแพงสูง ทางเข้าส่วนมากอยู่ทางทิศใต้ มีประตู 3 ประตูหลังคาวัดมีความ
ยาวมากจนสามารถยื่นมาคลุมประตูทั้งสามที่อยู่หน้าวัด ส่วนบานประตูนั้นนิยมเขียนภาพสี
สดใสงดงาม เป็นรูปเทพยดาอารักษ์ทำหน้าที่ปกป้องวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาในวัด ห้องโถง
ใหญ่ของวัดจะตั้งแผ่นป้ายของปรมาจารย์ขงจื้อ และ ศิษย์เอกที่เป็นนักปราชญ์ 4 คน คือ ง้วน
อวง เจิ้งจื่อ จื่อซื้อ ซึ่งเป็นทั้งศิษย์เอกและหลานรัก และเม่งจื้อ ซึ่งไม่ใช่ศิษย์โดยตรงแต่มีส่วนใน
การเผยแพร่คำสอนของขงจื้อ
232 DOU ศ า ส น ศึ ก ษ า