ข้อความต้นฉบับในหน้า
เป็นกาพย์ง่ายๆ สำหรับชาวฮินดูทั่วไปไว้ใช้ปฏิบัติเรียกว่า มานวธรรมศาสตร์ แปลว่า กฎข้อ
บังคับของพระมนู
นอกจากมานวธรรมศาสตร์แล้วยังมีหนังสืออีกเรื่องที่
องที่น่าสนใจคือ “ภควัทคีตา” ซึ่งเป็น
ส่วนที่เติมมาจากมหากาพย์มหาภารตะ ภควัทคีตานี้เป็นหนังสือที่อ่านได้ง่าย ทุกวรรณะไม่
หวงห้ามเหมือนพระเวทที่อ่านได้เฉพาะคนบางวรรณะ ดังนั้นจุดประสงค์ของหนังสือเรื่องนี้ก็
เพื่อให้คนทุกชั้นได้รับรู้หลักธรรมโดยไม่จำเป็นต้องออกบวชกันทุกคนใครจะบวชก็ได้ไม่บวชก็ได้
แม้เพียงรู้จักหน้าที่ของตนและปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ ให้ดีที่สุด โดยไม่หวังผลตอบแทนก็สามารถ
นำผู้นั้นไปสู่ความจริงอันสูงสุดดังนั้นภควัทคีตาจึงเป็นหนังสือธรรมที่สอนมนุษย์ให้คำนึงถึงสังคม
ไม่ใช่มุ่งความหลุดพ้นส่วนบุคคลเป็นสำคัญดังเช่นอุปนิษัท แต่มนุษย์มีหน้าที่ที่จะต้องกระทำ
เพื่อรักษาความมั่นคงของสังคมเพราะมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสังคม จึงมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติ
แม้นว่าจะต้องตายในหน้าที่ก็ตาม
3.1.8 สมัยเสื่อม
เป็นสมัยที่ราชวงศ์คุปตะ ซึ่งเป็นเชื้อสายฮินดูแท้โค่นอำนาจกษัตริย์ราชวงศ์กุษานะสำเร็จ
แล้วได้ฟื้นฟูศาสนาฮินดูขึ้นใหม่ ราชวงศ์นี้ครองความรุ่งเรืองอยู่ได้ประมาณ 2 ศตวรรษก็เสีย
อำนาจให้แก่พวกฮั่นซึ่งรุกรานอินเดียเข้ามาทางแคว้นปัญจาบและปกครองอินเดียอยู่ประมาณ
50 ปี จึงถูกกษัตริย์อินเดียขับไล่ออกไปเมื่อปี พ.ศ. 1071 หลังจากนี้อินเดียแบ่งแยกออกเป็น
2 อาณาจักรใหญ่ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกคืออาณาจักรชายทะเลฝั่งตะวันตก (ราชวงศ์จาลุกย์) กับ
อาณาจักรชายทะเลฝั่งตะวันออก (พวกปัลลวะ) ครั้งที่ 2 เป็นระยะเวลาตอนปลายของยุคนี้
ปรากฏว่า เจ้าผู้ครองนครอินเดียภาคเหนือพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า “หรรษาวัฒนา”
สามารถรวบรวมดินแดนภาคเหนือไว้ในอำนาจได้ทั้งหมด และพยายามขยายตัวลงมาทางใต้
แต่ไม่สำเร็จเพราะระหว่างนี้พวกมิลักขะมีกำลังเข้มแข็งมาก อินเดียปลายยุคนี้จึงแยกเป็น 2
อาณาจักรอีกครั้งหนึ่ง คือ อาณาจักรเหนือ (ระหว่างภูเขาหิมาลัย ลุ่มแม่น้ำนัมทา) กับ
อาณาจักรใต้ (ตลอดคาบสมุทรเดคคาน) ซึ่งพระเจ้าหรรษาวัฒนาทรงเลื่อมใสศาสนาพุทธ
นิกายมหายาน ทรงอุปถัมภ์นิกายนี้และทรงเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาฮินดู
สมัยนี้ได้ชื่อว่าเป็นยุคเสื่อมของศาสนาฮินดู เพราะ
1. เป็นสมัยที่ศาสนาฮินดูแตกแยกเป็นนิกายต่าง ๆ มากมาย แต่ละนิกายมีข้อปฏิบัติ
เสื่อมทรามลงกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะนิกายใหญ่ที่สำคัญ 2 นิกาย คือ นิกายที่นับถือพระศิวะ
62 DOU ศ า ส น ศึ ก ษ า