ข้อความต้นฉบับในหน้า
พวกที่ 1 ทำหน้าที่บูชาเทพ
พวกที่ 2 ทำหน้าที่สวดขับกล่อม
พวกที่ 3 ทำหน้าที่จัดพิธีกรรมตามลัทธิ
เรียกว่า พราหมณ์โหรตา
เรียกว่า พราหมณ์อุทคาดา
เรียกว่า
พราหมณ์อธวรรยุ
พราหมณ์ทั้ง 3 พวกนี้ จะปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อเนื่องกันตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีพวก
พราหมณ์อีกพวกหนึ่งเรียกว่า “พรหมา” เป็นผู้เชี่ยวชาญในการประกอบพิธีกรรม ทำหน้าที่
ควบคุมบูชายัญให้ถูกต้องตามคัมภีร์พระเวท ในแต่ละครั้งที่ทำพิธีบูชาเทพเจ้าต้องมีการเชิญ
วิญญาณบรรพบุรุษมาร่วมพิธีด้วยเสมอ สมัยนี้เป็นสมัยที่พราหมณ์แข่งขันกันสร้างศรัทธา จึงมี
การคิดค้นพิธีกรรมเพื่อสร้างความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์และสงวนรูปแบบเคล็ดลับเฉพาะกลุ่ม
ของตนเท่านั้น สถานศึกษาของพวกพราหมณ์จึงได้เกิดขึ้น
การที่ยุคนี้ได้ชื่อว่ายุคพระเวท เพราะพวกพราหมณ์ได้ประมวลบทสวดขับต่าง ๆ โดย
รวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ จึงเกิดเป็นคัมภีร์ทางศาสนาขึ้นมาเป็นฉบับแรก เรียกว่า “ฤคเวท” เป็น
คำฉันท์สำหรับสวดอ้อนวอนและสรรเสริญพระเจ้า ตลอดจนเป็นบทสวดขับกล่อมสำหรับพิธี
ถวายน้ำโสมและโศลกผสมร้อยแก้วอธิบายวิธีประกอบพิธีกรรมบวงสรวงพระเจ้า คัมภีร์นี้พวก
พราหมณ์เชื่อว่าเป็นศรุติ คือเป็นเสียงทิพย์ที่ได้ยินมาจากพรหมซึ่งเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก
สร้างมนุษย์และสร้างบรรพบุรุษของพราหมณ์
ต่อมาพราหมณาจารย์ได้เลือกคัดบทที่ผูกไว้เป็นมนต์ สวดขับในคัมภีร์ฤคเวทเอามาจัด
ใหม่เป็นอีกหมวดหนึ่ง เพื่อเป็นคู่มือของพราหมณ์อุทคาดาในการทำพิธี หมวดที่คัดออกมานี้
เรียกว่า สามเวท ใช้สวดในพิธีบูชาน้ำโสมแก่เทพเจ้า
นอกจากนี้ ยังมีคู่มืออีกหมวดหนึ่งคัดเอาแต่หมวดมนต์โศลก และหมวดคำร้อยแก้ว
ซึ่งว่าด้วยพิธีทำพลีกรรมมารวมกัน สำหรับให้พวกพราหมณ์อัธวรรยุใช้ในพิธี เรียกหมวดนี้ว่า
“ยชุรเวท”
ดังนั้นเมื่อรวมฤคเวทกับสามเวทในภายหลังแล้ว จึงเรียกว่า ไตรเพท
ยุคพระเวทนี้สิ้นสุดลงเมื่อกำเนิดเทพเจ้าองค์ใหม่คือ พระพรหม
แล้วที่สำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งในสมัยพระเวท คือการแบ่งบุคคลในสังคมออกเป็น 4 ประเภท
เรียกว่า วรรณะ คำว่า วรรณะ แปลว่าสีผิว สันนิษฐานว่าการแบ่งชั้นคนในระยะแรกคงถือตาม
สีผิว ซึ่งแต่เดิมมีเพียง 2 วรรณะ คือพวกผิวดำ ได้แก่พวกทราวิท (ดราวิเดียน) ซึ่งเป็นชน
ศ า ส น า พ ร า ห ม ณ์ - ฮินดู DOU 51