ข้อความต้นฉบับในหน้า
เผยให้บุคคลอื่นเข้าใจตามเท่านั้น
กฎนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สามัญลักษณะ หมายความว่าเป็นลักษณะทั่วไป
หรือมีเหมือนกันในสิ่งทั้งปวง มีอยู่ 3 ประการ ดังต่อไปนี้
1) อนิจจตา : ความเป็นของไม่เที่ยง อันได้แก่ ไม่ถาวร ไม่คงที่ ไม่แน่นอน เมื่อ
มีการเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป แปรปรวนไป
2) ทุกขตา : ความเป็นทุกข์ อันได้แก่ ความเป็นของทนได้ยาก ทนอยู่ตลอดไปไม่
ได้ ต้องแปรปรวนไป เพราะมีเหตุปัจจัยคือความเกิดขึ้น ความเสื่อมไป และความแปรปรวนไป
3) อนัตตตา : ความเป็นของไม่ใช่ตัวตน อันได้แก่ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
ขัดแย้งกับความเป็นตัวตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นของว่างเปล่า เป็นเพียงสิ่งสมมติ ไม่ใช่ของ
ตนแท้จริง
อนิจจตาเป็นปรากฏการณ์ที่ประจักษ์ภายนอก เช่น ผมหงอก ฟันหลุด ผิวหนังเหี่ยวย่น
เป็นต้น ส่วนทุกขตาเป็น “เนื้อใน” ของสิ่งนั้น หรือเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั่นคือการที่ผม
หงอก ฟันหลุด ผิวหนังเหี่ยวย่นดังที่ปรากฏให้เห็นนั้นเป็นเพราะเนื้อแท้ของสิ่งเหล่านี้ไม่มี
ความสมบูรณ์ในตัว มันมีความบกพร่องในตัวเอง มันจึงทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องมีอัน
เปลี่ยนแปลง
แต่อนัตตตานั้นมีความหมาย 2 นัย ดังต่อไปนี้
1) อนัตตตา แปลว่า “ไม่ใช่ตน” หมายความว่าไม่ใช่ตัวตนของคน สิ่งที่เป็นรูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งประกอบกันเข้าเป็นร่างที่เราเข้าใจว่าเป็น “คน” นี้ไม่ใช่ตัว
ของคน
2) อนัตตตา แปลว่า “ไม่มีตัวตนที่แท้จริง” ไม่มีวิญญาณถาวร หรือ “สิ่ง” ซึ่ง
อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย อนัตตตาในความหมายนี้ตรงกันข้ามกับอัตตาหรือ
อาตมันที่ลัทธิอื่นเชื่อถือและยืนยันว่ามีจริง
ลักษณะดังกล่าวมาแสดงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในไตรลักษณ์ คือ สภาพไม่เที่ยง
แท้ถาวร ตัวแปรปรวนเสื่อมสลายไปในที่สุด ทุกสิ่งเป็นของไม่จีรังยั่งยืน สรรพสิ่งในจักรวาลตก
อยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ ไม่ว่าโลก สังคมมนุษย์ และตัวเราเองก็ต้องเปลี่ยนสลายและเสื่อม
ไปในที่สุด
ศ า ส น า พุทธ
DOU 151