ข้อความต้นฉบับในหน้า
ศาสนาขงจื้อ จะมีลักษณะเป็นปรัชญามากกว่าศาสนา เพราะศาสนาขงจื้อจะว่าด้วยจริยา
ศาสตร์ หลักประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ในชาตินี้เท่านั้น ทำอย่างไรตนและคนอื่นจึงจะมีความ
สุขความเจริญ ทำอย่างไรสังคมจึงจะดีมีความสุข และทำอย่างไรประเทศชาติตลอดถึงโลกจึงจะ
มีความสงบสุข ศาสนาขงจื้อไม่ได้ว่าด้วยคุณธรรมชั้นสูงและความลี้ลับของจิตวิญญาณ และ
โลกหน้าอย่างที่เรียกว่าอภิปรัชญาเลย แต่ก็ยังจัดเป็นศาสนา ทั้งนี้ก็เพราะมีองค์ประกอบอื่นๆ
เข้าข่ายเป็นศาสนาได้คือ 1) มีศาสดาหรือผู้ตั้งศาสนา 2) มีคัมภีร์ทางศาสนา 3) มีนักบวช
หรือผู้สืบต่อศาสนา 4) มีสถานที่อยู่ของนักบวชหรือผู้สืบต่อศาสนา 5) มีปูชนียวัตถุหรือ
ปูชนียสถานทางศาสนาตลอดทั้งมีพิธีกรรมทางศาสนา และเนื่องจากศาสนาขงจื้อจะว่าด้วย
เรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์ในชาตินี้เท่านั้นศาสนาขงจื้อจึงได้ชื่อว่า ศาสนาแห่งมนุษย์นิยม กล่าวคือ
ศาสนาขงจื้อให้ความสำคัญแก่มนุษย์มาก ถึงว่ามนุษย์เป็นผู้บันดาลความเจริญหรือความเสื่อม
ตลอดจน ถึงความเป็นไปต่าง ๆ ให้แก่โลก ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นศูนย์กลางแห่งความเป็นไปใน
โลกทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้จึงจำต้องสร้างคนให้เป็นคนดี จะได้นำแต่สิ่งที่ดีมาสู่ชีวิตและ โลก
ปัญหามีว่าจะทำคนให้เป็นคนดีได้อย่างไร เรื่องนี้ ขงจื้อได้ตอบไว้ว่าไม่ต้องหาที่ไหน
บรรพบุรุษได้สร้างไว้แล้วนั่นก็คือคุณธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และวิทยาการต่างๆ
ขงจื้อได้ทุ่มเทเวลาไปในการศึกษาค้นคว้าวิทยาการต่าง ๆ ที่บรรพบุรุษสร้างสมไว้ พยายามฟื้นฟู
เรื่องโบราณอย่างจริงจัง ได้รวบรวมจารีตประเพณีโบราณต่าง ๆ เช่น การบูชาฟ้าดิน การบูชา
พระอาทิตย์ พระจันทร์ และการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เป็นต้น เพื่อจะนำมาใช้สร้างคนให้เป็นคนดี
ด้วยเหตุนี้ศาสนาขงจื้อจึงมีเนื้อหาว่าด้วยเรื่องคุณธรรมและวิทยาการต่าง ๆ ในสมัยโบราณ
เพียงแต่ขงจื้อได้ตีความหมาย ขยายความเสียใหม่ และใช้หลักธรรมการเอาใจเขามาใส่ใจเรา
เป็นแกนกลางสำหรับไว้ให้ทุกคนปฏิบัติต่อกัน ตามฐานะหน้าที่ของตน เพราะฉะนั้นคำสอนใน
การดำเนินชีวิตทั้งหมดของขงจื้อ จึงรวมอยู่ในภาษาจีนคำเดียว คือ “สู่” หมายถึง อะไรที่
ตนเองไม่ปรารถนา ก็อย่าทำอย่างนั้นกับผู้อื่น
ศาสนาขงจื้อ เคยเจริญรุ่งเรืองในประเทศจีนเคียงคู่กับศาสนาเต๋า และศาสนาพุทธ แต่
เนื่องจากคำสอนในศาสนาขงจื้อ ไม่มีอภิปรัชญา ดังนั้นคนจีนเมื่อต้องการคำสอนที่ลึกซึ้ง หรือ
ต้องการรู้ความเป็นไปในโลกหน้าจึงต้องหันไปนับถือศาสนาเต๋าและศาสนาพุทธอีกด้วย ส่วน
ศาสนิกของศาสนาพุทธก็เช่นกัน ต่างก็ให้ความสำคัญต่อศาสนาขงจื้อ เพราะฉะนั้นคนจีน
ทั่วไปจึงนับถือทั้ง 3 ศาสนา คือ พุทธ เต๋าและขงจื้อ รวมกันไป และต่างก็นำคำสอนของอีกฝ่าย
หนึ่งมาคลุกเคล้าเข้ากัน จนยากที่จะแยกจากกันได้ ดังมีคำพูดในภาษาจีนว่า ซัมเก่า แปลว่า
คำสั่งสอนทั้ง 3 ศาสนา ก็ความเป็นไปของทั้ง 3 ศาสนา เป็นอย่างนี้ตลอดมา จนประเทศจีน
220 DOU ศาสนศึกษา