ข้อความต้นฉบับในหน้า
Bsumaประช
คนมีเมตตา ชื่อว่ารักตนเอง
๖๐
ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย จะเป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นที่รัก
ของอมนุษย์ทั้งหลาย เทวดาย่อมรักษา ไฟก็ดี ยาพิษศัสตราก็ดี
ไม่สามารถจะทำอันตรายได้
จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว สีหน้าผ่องใส
ไม่หลงทำกาลกิริยา และประการสุดท้ายเมื่อยังไม่บรรลุที่สุด
แห่งทุกข์ ย่อมเข้าถึงพรหมโลกได้โดยง่าย”
พระพุทธองค์ทรงแนะนำวิธีแผ่เมตตาให้ด้วยว่า ธรรมดา
ภิกษุพึงอบรมเมตตาภาวนาซึ่งยึดอานิสงส์ ๑๑ ประการเหล่านี้
แล้วเจริญเมตตาไปในสัตว์ทุกชนิดทั้งโดยเจาะจง และไม่เจาะจง
พึงมีจิตเกื้อกูลแผ่ไปยังสัตว์ที่มีจิตเกื้อกูล และพึงมีจิตเกื้อกูลแผ่
ไปยังสัตว์ทั้งที่ไม่มีจิตเกื้อกูล จึงมีจิตเกื้อกูลแผ่ไปยังสัตว์ทั้งที่มี
อารมณ์จิตเป็นกลางๆ และพึงปฏิบัติในพรหมวิหาร ๔ อย่าง
สม่ำเสมอ เพราะเมื่อทำเช่นนี้ แม้ยังไม่บรรลุมรรคผล ย่อมมี
สุคติภูมิเป็นที่ไปในภพเบื้องหน้า
จากนั้นทรงตรัสเล่าว่า แม้แต่การบริโภคก้อนข้าวของ
ชาวบ้าน ก็ย่อมไม่เสียเปล่า เพราะภิกษุผู้เจริญเมตตาจิตแม้
เพียงลัดนิ้วมือ ชื่อว่าเป็นนายของก้อนข้าวที่ชาวบ้านนำมาให้
และทานที่บุคคลถวายแด่ภิกษุผู้เจริญเมตตาจิตแม้เพียงลัดนิ้ว
มือเดียวนี้ ย่อมจะมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองไพบูลย์
เพราะฉะนั้น การบริโภคข้าวของพระภิกษุที่ชาวบ้านน้อมถวาย
นั้นไม่เป็นโมฆะ ไม่เสียเปล่า เพราะภิกษุผู้เจริญเมตตาเช่นนี้