ข้อความต้นฉบับในหน้า
เป็นใหญ่ด้วยธรรม
៤២៨
สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์ดื้อด้านอวดดีจึงกล่าวว่า “เรานั่งอยู่
บนหลังราชสีห์ตัวใด จักให้ตัวนั้นแหละแผดเสียง” พระโพธิสัตว์
กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น จงให้แผดเสียงเถิด ถ้าท่านสามารถทำได้”
สุนัขจิ้งจอกจึงให้สัญญาณด้วยการสะกิดราชสีห์ตัวที่ตนนั่งอยู่
พลางกล่าวว่า “เจ้าจงแผดเสียง” ราชสีห์จึงบันลือสีหนาทขึ้น
๓ ครั้งบนกะพองช้าง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำให้ช้างต่างพากัน
สะดุ้งตกใจกลัว รีบสลัดสุนัขจิ้งจอกให้ตกไปที่โคนเท้า และใช้
เท้าเหยียบหัวสุนัขจิ้งจอกจนแหลกละเอียด ทำให้สุนัขจิ้งจอก
ถึงแก่ความตายทันที พวกช้างต่างพากันวิ่งหนีกันชุลมุนวุ่นวาย
เอางาแทงกันตายมากมายในที่นั้นเอง
สัตว์ ๔ เท้าทั้งหมดที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นสุกร กระต่าย
เป็นต้น ยกเว้นราชสีห์ทั้งหมดที่ได้วิ่งหนีเข้าป่าไปแล้ว พากัน
ถึงแก่ความตาย กองเนื้อสัตว์เกลื่อนไปถึง ๑๒ โยชน์ พระโพธิสัตว์
ลงจากป้อมแล้วให้เปิดประตูเมือง และให้ตีกลองเที่ยวประกาศ
ไปทั่วเมืองให้ชาวเมืองเอาแป้งที่อุดหูของตนออก ส่วนผู้ใดที่
ต้องการเนื้อก็จงไปเก็บเอามาทำเป็นอาหาร มนุษย์ทั้งหลายได้
บริโภคเนื้อสด ที่เหลือก็ตากทําเป็นเนื้อแห้ง เนื้อแห้งจึงได้เกิด
ขึ้นในครั้งนั้นนั่นเอง
ครั้นพระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มากล่าวแล้ว
จึงตรัสว่า “สุนัขจิ้งจอกที่มากด้วยทิฐิมานะ มีความต้องการด้วย