ข้อความต้นฉบับในหน้า
*
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 79
สมาธินี้นั้นก็มีเพียงสองอย่างเท่านั้น ซึ่งเป็นสมาธิที่ประสงค์เอา
ในที่นี้ คืออุปจารสมาธิ ๑ อัปปนาสมาธิ ๑ ในสมาธิสองอย่างนั้น
อุปจารสมาธิก็คือเอกัคคตาในกรรมฐาน ๑๐ และในจิตอันเป็นบุพภาค
แห่งอัปปนาทั้งหลาย อัปปนาสมาธิ ก็คือเอกัคคตาแห่งจิตในกรรมฐาน
ที่เหลือ (๓๐) สมาธิทั้งสองอย่างนั้น จะชื่อว่
จะชื่อว่าเป็นธรรมอันพระ
โยคาวจรได้เจริญแล้ว ก็เพราะกรรมฐานเหล่านั้นเธอได้บำเพ็ญแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าว่า "การพรรณนาความโดยทุกประการแห่ง
(ปัญหา) ข้อว่า "สมาธิพึงบำเพ็ญอย่างไร" นี้ จบแล้ว"
[อานิสงส์แห่งการบำเพ็ญสมาธิ
ส่วนใน (ปัญหา) ข้อที่กล่าวไว้ว่า "อะไรเป็นอาสิงสงส์แห่งการ
บำเพ็ญสมาธิ " มีคำเฉลยว่า "อานิสงส์แห่งการบำเพ็ญสมาธิมี ๕
ประการ มีทิฏฐธรรมสุขวิหาร (ความอยู่สำราญในภพปัจจุบัน) เป็น
อาทิ" จริงอย่างนั้น
[มีทิฏฐธรรมสุขวิหารเป็นอานิสงส์]
(๑) ภิกษุเหล่าใดเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ย่อมเจริญสมาธิด้วย
ประสงค์ว่า จักเข้าสมาบัติให้จิตมีอารมณ์เดียวอยู่เป็นสุขตลอดวัน การ
เจริญอัปปนาสมาธิของภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่าทิฏฐธรรมสุขวิหารเป็น
อานิสงส์ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส (กะพระจุนทะ)
มหาฎีกา หมายเอาจิตตุบาทอันเป็นบุพภาคแห่งฌาน ๔.