ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 194
แต่นั้นไปอิกล่วงกาลนานไกล สูรย์ดวงที่ 6 ก็เกิดปรากฏขึ้น
เพราะความเกิดปรากฏขึ้นแห่งสูรย์ดวงที่ ๓ ไรเล่า สกลจักรวาฬก็ลุก
(ไหม้) พรึบขึ้นพร้อมทั้งแสนโกฏิจักรวาฬ แม้ยอดเขาสิเนรุทั้งหลาย
(อันมีจำนวนมาก) ต่างโดยขนาดมียอดที่สูง ๑๐๐ โยชน์ เป็นต้น
ก็ละลายหายไปในอากาศนั่นเอง เปลวไฟนั้นลุกขึ้นไปติดเทวโลกชั้น
จาตุมหาราช เผาวิมานทองวิมานแก้ววิมานเพชรพลอย ในชั้นจาตุ
มหาราชนั้น (สิ้น) แล้ว ก็ติดภพน์ดาวดึงส์ โดยวิธีนี้แล มันติด
กระทั่งถึง (พรหมโลก) ภูมิปฐมฌาน เผาพรหมโลกทั้ง ๓ ชั้นในภูมิ
ปฐมฌานนั้นแล้ว จดชั้นอาภัสราจึงหยุด เปลวไฟนั้น สิ่งที่เป็นสังขาร
แม้ประมาณสักอณูหนึ่ง ยังมี (เหลือ) อยู่เพียงใด ก็ไม่ (ยอม) ดับ
เพียงนั้น ต่อสิ้นสังขารทั้งปวงจึงดับไปไม่ให้อะไรเหลือแม้แต่เถ้า ดัง
เปลวไฟที่ไหม้เนยใสและน้ำมันฉะนั้น อากาศเบื้องบนกับทั้งอากาศ
เบื้องล่างก็เกิดมืดมิดเป็นอันเดียว
[ตอนสังวัฏฏฏฐายี - ระยะกาลระหว่าเสื่อม]
ต่อมาลวงกาลนานไกล เมฆใหญ่ตั้งขึ้น ทีแรกยังฝนฝอย ๆ ให้
ตกลงมา (แล้ว) ยังฝนให้ตกโดยหยาดน้ำ (ใหญ่ขึ้น) ขนาดก้านบัว
ขนาดไม้เท้า ขนาดสาก และขนาดลำตาลเป็นอาทิอยู่โดยลำดับ (จน)
ยังที่ๆ ไฟไหม้ทั้งปวง ในแสนโกฏิจักรวาฬให้เต็มแล้วจึงหายไป ลม
* น่าจะกล่าวอีกนิดว่า สูรย์ทั้ง ๓ ๒ ดวง ที่เป็นต้นเพลิงนั้น ก็เผาไหม้ตัวเองมอดสลาย
ไปด้วย อากาศจึงได้มืดมิด !