ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 243
ก็เป้นมหัคคตารมณ์ เป็นอดีตารมณ์ เพราะรู้แต่กรรมที่เป็นอดีต
เท่านั้น ในกาบที่รู้กรรมของตนเอง เป็นอัชฌัตตารมณ์ ในกาลที่
รู้กรรมของคนอื่น ก็เป็นพหิทธารมณ์แล
ความเป็นไปในอารมณ์ ๕ แห่งยถากัมมูปคญาณ บัณฑิตพึงทราบ
โดยประการที่กล่าวมาฉะนี้
ส่วนว่า ในตอนที่กล่าวถึงอัชฌัตตารมณ์และพริธารมณ์นี้ คำใด
กล่าวไว้ในโบราณอรรถกถาว่า "ยถากัมมูปคญาณเป็นทั้งอัชฌัตตา
รมณ์และพริธารมณ์" ดังนี้ คำนั้นท่านกล่าวด้วยอธิบายว่า ยถา
กัมมูปคญาณนั้น ในเวลาที่รู้ (กรรม) ภายใน (คือของตน) ตามกาล
(กรรม) ภายนอก (คือของคนอื่น) ตามกาล (หมายความว่าลางคราว
รู้กรรมภายใน ลางคราวรู้กรรมภายนอก ตามที่ตั้งใจจะรู้ ?) จะ
นับเป็นอัชฌัตตพหิทธารมณ์บ้างก็ได้เท่านั้นเองและ
บริเฉทที่ ๑๓
*
ชื่ออภิญญานิเทศ
ในปกรณ์วิเศษ ชื่อวิสุทธิมรรค
อันข้าพเจ้าทำเพื่อประโยชน์แก่ความปราโมทย์แห่งสาธุชน
ดังนี้
เกิดปัญหาขึ้นในตอนจบ มหาฎีกาว่าที่อธิบายอย่างนี้ก็หมายความว่าไม่ยอมเพิ่ม
อัชฌัตตพหิทธารมณ์เข้าอีกข้อหนึ่ง และก็มิได้หมายว่าทำสองอย่างนี้ให้มีอารมณ์เป็น
อันเดียวกันด้วย
คิดดูชอบกล จะรู้กรรมทั้งของคนอื่นในคราวเดียวกันบ้างไม่ได้หรือ
เช่นเมื่อตนและใครคนหนึ่งทำกรรมอะไรร่วมกัน แล้วมาได้รัวผลเช่นเดียวกัน เมื่อ
ทำยถากัมมูปคญาณให้เกิดขึ้นแล้ว ก็รู้ได้ในคราวเดียวว่า ตนและใครคนนั้นทำกรรมอะไร
ไว้ด้วยกัน อย่างนี้เป็นอัชฌัตตพหิทธารมณ์ ไม่ได้หรือ จะได้ครบติกะ คือัชฌัตตารมณ์
พหิธารมณ์ และอัชฌัตตพพิธทธารมณ์ (?)