ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 169
แสดงเป็น (พล) ช้างเป็นต้นขึ้นในภายานอกบ้าง” ในการแสดง
ภายนอกนั้น เธอไม่อธิษฐานว่า "หตุถี โหมิ - เราจงเป็นช้าง"
(แต่) จึงอธิษฐานว่า "หตุถี โหตุ-ช้างจงเป็นขึ้น" นับแม้ใน
(การอธิษฐานเป็น) ม้าเป็นต้น ก็ดุจนัยนี้แล
นี่ วิกุพฺพนาอิทฺธิ - ฤทธิบิดเบือน
[มโนมยาอิทฺธิ - ฤทธิมโนมัย]
ส่วนภิกษุผู้ใคร่จะทำมโนนัยฤทธิ์ ออกจากฌานที่เป็นบาทแล้ว
ชั้นแรกก็นึกถึงกายแล้วอธิษฐานโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแลว่า "กาย
จงเป็นโพรง" มันก็เป็นโพรงไป ครั้นแล้วนึกถึงกายอื่น (อีก
กายหนึ่งซ้อนขึ้น) ในภายในภายนั้น ทำบริกรรมไปแล้ว อธิษฐาน
โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละว่า "กายอื่น (อีกกายหนึ่ง) จงมีขึ้นใน
กายนั้น " เธอก็ชัก"กายนั้นออกมาได้ ดังชักไส้ (หญ้า) ออกจาก
"
๑. มหาฎีกาให้อรรถาธิบายว่า ข้อต้น ๆ ที่ประกอบวาศัพท์ หมายถึงบิดเบือนรูปร่างตน
ให้เป็นรูปร่างอะไรต่าง ๆ แต่ละอย่าง ส่วน ๕ ข้อหลังที่ประกอบปิศัทพ์ หมายถึงบิด
เบือนรูปร่างตนให้เป็นช้าง.... อย่าข้อต้น ๆ ก็ได้แสดงให้เป็นช้าง....ขึ้นนอกตัวก็ได้
แต่ลางอาจารย์ก็ค้านว่า ที่ว่าแสดงเป็นช้าง...ขึ้นนอกตัวนั้นผิดลักษณะวิกุพพนฤทธิ์ที่
กล่าวว่า ละรูปร่างปกติของตนแล้วแสดงเป็นรูปร่างต่าง ๆ ขึ้น คำค้านของเกจิอาจารย์
นี้ไม่ชอบ เพราะอะไร เพราะการ ไม่แสดงรูปร่างปกติของตนให้คนอื่นเห็น ก็นับเป็น
ละรูปร่างปกติของตนได้ ไม่ใช่ต้องทำให้รูปร่างปกตินั้นหายให้คนอื่นเห็น ก็นับเป็น
๒. ปาฐะในวิสุทธิมรรคพิมพ์ไว้เป็น อนุภาคติ เข้าใจว่าพิรุธ ที่ถูกจะเป็น อุพพานติ
(อุ. วห).