ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 192
“ทำบริกรรมในวาโยกสิณ จึงได้ฌานในเทวโลกนั้น ส่วนสัตว์อื่น
จากนั้น (คือพวกอบาย) ก็ไปเกิดในเทวโลกได้ด้วยอปราปริยเวทนีย
กรรม จริงอยู่ ชื่อว่าสัตว์ผู้ท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร ที่ปราศจากอุปรา
ปริยเวทนียกรรม ย่อมไม่มี แม้สัตว์เหล่านั้นก็ย่อมได้ฌานในเทวโลก
นั้น ๆ ได้เหมือนกัน สัตว์แม้ทั้งปวงย่อมเกิดในพรหมโลกได้ ด้วย
อำนาจฌานที่ตน (ไป) ได้ในเทวโลก ดังนี้แล
[เกิดสูรย์ ๗ ดวง]
อนึ่ง ต่อแต่ฝนขาด ล่วงกาลไปนานไกล สูรย์ดวงที่ ๒ ก็เกิด
ปรากฏขึ้น จริงอยู่ ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า "ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย สมัยนั้นมีอยู่ "" ดังนี้เป็นอาทิ สัตตสุริยสูตร บัณฑิตพึง
(นำมากล่าว) ให้พิสดารเถิด ก็แลครั้นสูรย์ดวงที่ ๒ นั้น เกิดปรากฏ
ขึ้นแล้ว กาลตอนกลางคืนตอนกลางวันก็มิได้รู้กันเลย สูรย์ดวงหนึ่งขึ้น
ดวงหนึ่งตก โลกมีความร้อนจากสูรย์มิได้ขาดระยะเลย และในกัปป
วินาสกสูรย์ (สูรย์ล้างกัป) หามีสุริยเทพบุตรเหมือนดังที่มีในปกติสูรย์ไม่
ในสูรย์ ๒ อย่างนั้น เมื่อปกติสูรย์ยังเป็นไปอยู่ ก้อนเมฆบ้าง เปลวควัน
ด.
มหาฎีกาว่า พวกเทวดาได้ลมเย็นสบายอยู่โดยปกติจนชิน เจริญโยกสิณจึงสำเร็จ
ได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวแต่ว่าเทวดาทำบริกรรมในวาโยกสิณ ไม่กล่าวถึง
กสิณอื่น.
๒. องฺ. สตฺตก. ๒๓/๑๐๒
๓. มหาฎีกาช่วยแก้ปัญหาว่า แม้สุริยเทพบุตรก็เจริญฌานได้แล้ว ก็ทิ้งสุริยวิมานไปเกิด
ในพรหมโลกเสียงเหมือนกามาวจรเทพอื่นๆ