ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๒ -
- หน้าที่ 80
ว่า "ดูกรจุนทะ ฌานธรรม (ที่พาหิรกบรรพชิตบำเพ็ญ) เหล่านั้น
หาเรียก สัลเลขะ ในอริยวินัยไม่ ฌานธรรมเหล่านั้นเรียก ทิฏฐธรรม
สุขวิหาร ในอริยวินัย "
[มีวิปัสสนาเป็นอานิสงส์
(๒) ทั้งการเจริญอัปปนาสมาธิ ทั้งการเจริญอุปจารสมาธิ โดย
นัยแห่งการได้ช่องในที่คับแคบ” แห่งพระเสขะและปุถุชนทั้งหลาย ผู้
เจริญ (สมาธิ) ด้วยประสงค์ว่า ออกจากสมาบัติแล้วจักทำวิปัสสนาทั้ง
จิตที่ยังตั้งมั่นอยู่ ชื่อว่ามีวิปัสสนาเป็นอานิสงส์ เพราะสมาธินั้นเป็น
ปทัฏฐาน (เหตุใกล้ที่สุด) แห่งวิปัสสนา เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงเจริญสมาธิ
เถิด ภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง "
[มีอภิญญาเป็นอานิสงส์]
(๓) ส่วนภิกษุเหล่าใด ยังสมาบัติ ๘ ให้เกิดแล้วเข้าฌานอันเป็น
๑. ม. ม. ๑๒/๒๓.
๒. ดูเหมือนจะหมายความว่า สงสารนี้เป็นที่คับแคบอย่างยิ่ง เพราะรกเรื้อนเบียดเสียด
ไปด้วยสังกิเลสมากนัก ยากที่คนไม่มีบุญจะได้ช่องที่จะได้กำเนิดเกิดมาเป็นคน มีอัตภาพ
จิตใจสติปัญญาสมบูรณ์พอ แม้เพียงจะทำอุปจารสมาธิให้เกิดได้ พระโยคาวจรผู้นี้มีบุญ
ได้ช่องมาเกิดเป็นคนมีอัตภาพสมบูรณ์ และยินดีในโยคภาวนา จนสามารถทำอุปจาร
สมาธิให้เกิดขึ้นได้ ชื่อว่าเธอได้สิ่งที่ได้โดยยาก ควรเป็นที่ตั้งแห่งความสังสารทุกข์
เสียโดยเร็ว เพราะฉะนั้น แม้การเจริญอุปจารสมาธิของเธอผู้นี้ ก็ชื่อว่ามีวิปัสสนาเป็น
อานิสงส์เหมือนกัน.
๓. ส. ขันธวาร. ๑๓/๑๘.