ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 196
[อาภัสสรพรหมลงมาเกิดและกินง้วนดินเป็นอาหาร]
ก็ในกาลนั้น สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดอยู่แต่แรก"ในอาภัสสรพรหมโลก
จุติจากอาภัสสรพรหมโลกนั้น เพราะสิ้นอายุบ้าง เพราะสิ้นบุญบ้าง
(มา) เกิดในโลกนี้ (โดย) เป็นอุปปาติกะ พรหมสัตว์เหล่านั้นเป็น
ผู้มีแสงในตัว ท่องเที่ยวไปในท้องฟ้าได้ (คือเหาะได้) เขาทั้งหลาย
ได้สิ้นง้วนดินนั้นเข้าก็เกิดหุ่นกระหาย” ลงมือ (ปั้น) กินเป็นคำๆ
โดยนัยที่กล่าวในอัคคัญญสูตรนั้นแล” อยู่มาแสงในตัวของเขาทั้งหลาย
อันตรธานไป ความมืดก็มีขึ้น เขาทั้งหลา
เขาทั้งหลายเห็นมืดเข้าก็กลัว
[เกิดดวงอาทิตย์]
ต่อนั้น ดวงสูรย์ (ใหญ่) ๕๐ โยชน์เต็ม อันยังความกลัวให้หาย
แล้วยังความกล้าให้เกิดแก่สัตว์เหล่านั้นได้ เกิดปรากฏขึ้น เขาทั้งหลาย
เห็นดวงสูรย์นั้นแล้วก็ตื่นเต้นดีใจว่า "พวกเรากลับได้แสงสว่างแล้ว"
พากันตั้งชื่อดวงสว่างนั้นว่า "สูรย์" นั่นเอง เพราะ (เนื่องด้วย) คำที่
เขาทั้งหลายกล่าวกันว่า "ดวงสว่างอันยังความกลัวของพวกเราที่กลัวอยู่
แล้วให้หาย ยังความกล้าให้เกิด (แก่พวกเรา) โผล่ขึ้นมา เพราะฉะนั้น
ดวงสว่างนั้นจงชื่อสูรย์ (ผู้โผล่ขึ้นมายังความกล้าให้เกิด) เถิด" ดังนี้
คือเกิดอยู่ก่อนที่โลกพยูหเทพจะมาบอกกล่าวเรื่องกับจะสิ้น
๑.
๒. กระหาย กับระหาย ความหายต่างกัน กระหาย เป็นอาการของใจที่มีความต้องการ
อยากได้อารมณ์ ส่วนระหาย เป็นอาการทางกายที่ต้องการน้ำ เพราะฉะนั้น กระหาย
จึงใช้ได้กับความหมายของตัณหา.
๓. ที. ปาฏิ, ๑๑/๘๓.