ข้อความต้นฉบับในหน้า
៨
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 207
และเมื่อพินาศอย่างนั้นเล่า มันพินาศด้วยไฟ ๓ วาระติดต่อกัน
ไป ในวาระที่ 4 จึงพินาศด้วยน้ำ (เสียคราวหนึ่ง) พินาศด้วยไฟ
๓ วาระ ในวาระที่ 4 พินาศด้วยน้ำอีกเล่า...โดยนัยดังนี้ โลกเมื่อ
พินาศอย่างนั้น พินาศด้วยน้ำ ๒ หน ทุกวาระที่ 4 แล้วพินาศด้วยไฟ
(แถม) อีก ๓ วาระ โดยกาลเท่านี้เป็นอันล่วงไปถึง ๖๓ กัป ใน
ระหว่าง ๖๓ กัปนั้น ลมซึ่งกันวาระที่จะพินาศด้วยน้ำอันมาถึงเข้าเสีย
(วาระหนึ่ง) แล้วจึงได้ช่องทำลายเหล่าสุภกิณหพรหมผู้มีกำหนดอายุ ๖๔
กัปเต็ม ยังโลกให้พินาศได้
[แก้บาลีที่แสดงอาการระลึก
ก็แลภิกษุผู้ระลึกได้ตลอดกัป แม้เมื่อระลึกถึงบุพเพนิวาส ในกัป
เหล่านั้น ย่อมระลึกได้หลายสังวัฏกัปก็มี หลายวิวัฏกัปก็มี หลายสังวัฏ
วิวัฏกัปที่มี ระลึกได้ด้วยอาการอย่างไร ? ระลึกโดยนัยพระบาลีว่า
"อมุตฺราสึ" เป็นอาทิ
ในปาฐะเหล่านั้น คำว่า "อมุตฺราสึ - ในที่โน้น เราได้เป็น....
แล้ว" ความว่าในสังวัฏกัปโน้น หรือว่าในภพโน้น หรือว่าในกำเนิด
* คือพินาศด้วยไฟ ๒ หน หนละ ๓ วาระ - ๔๕ วาระ พินาศด้วยน้ำหนละ ๑ วาระ =
๓ วาระ พินาศด้วยไฟแถมอีก ๓ วาระ รวม ๔๕ + 0 + ๓ จึงเป็น ๖๓ วาระ แต่ละวาระ
นั้นนานเป็นกัปทั้งนั้น จึงเป็น ๖๓ กัป
ตามนี้เห็นได้ว่า โลกพินาศด้วยอำนาจราคะ (ไฟ) มากกว่าโทสะ (น้ำ) หลาย
เท่า ทั้งนี้ว่าเพราะราคะเกิดแก่สัตว์ทั้งหลาย มากกว่าโทสะหลายเท่านั่นเอง โมหะ
(ลม) ยิ่งเบาไปกว่าโทสะ ไม่มีวาระของตัว ต้องไปกันเอาวาระของโทสะ (น้ำ) มา
วาระหนึ่ง จึงได้ช่อง แต่ว่าพอได้ช่องก็ทำลายโลกได้มากกว่าใครหมด คือเล่นงานถึงชั้น
สุภกิณหะ ตติยฌานภูมิ ดังกล่าวต่อไปนั้น