ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ -
- หน้าที่ 89
"อเสจนโก" ความว่า ไม่ต้องเติมอะไร เป็น (ดุจ) สิ่งมีรสดีอร่อย
โดยสภาพเอง บัณฑิตพึงทราบว่า อานาปานสติสมาธินี้ เป็น
อเสจนกะอย่างนี้แหละ จึงเป็นสุขวิหารด้วย เพราะเป็นไปเพื่อได้
กายกสุขและเจตสิกสุข ทุกขณะที่ถึงอัปปนา
คำว่า ที่เกิด ๆ ขึ้น หมายความว่าที่ยังมิได้ข่ม ๆ ลง คำว่า บาป
คือชั่ว คำว่า ธรรมอันเป็นอกุศล คือธรรมอันเกิดแต่ความไม่ฉลาด
คำว่า ให้หายไปโดยพลัน หมายความว่าให้ลับไป คือข่มลงได้โดยทันที
ทีเดียว คำว่า ให้รำงับไป คือให้สงบไปอย่างดี นัยหนึ่ง เธอถึง
ความเจริญแห่งอริยมรรคโดยลำดับ ย่อมตัดขาดได้ อธิบายว่า ให้สงบ
ราบคาบไปได้ เพราะอานาปานสติสมาธิเป็นนิพเพธภาคิยธรรม
ก็ในพระบาลีคำถามนี้ มีความสังเขป (ดังต่อไป) นี้ว่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติสมาธิ บุคคลทำให้มีด้วยประการไร ด้วย
อาการไร ด้วยวิธีไร ทำให้มากด้วยประการไร.... จึงเป็นธรรมละเมียด
แท้ด้วย ฯลฯ ให้รำงับไปโดยพลันด้วย
Q.
[ขยายความแห่งบาลีคำเฉลย]
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงยังความข้อนั้นให้พิสดาร จึง
มหาฎีกาขยายความว่า ที่ว่าได้กายิกสุขด้วยนั้น ก็โดยที่ร่างกายของผู้เข้าฌาน
ซาบซ่านด้วยประณีตรูปที่เกิดแต่ฌาน จะรู้สึกเป็นสุขเมื่อออกจากฌานแล้ว
๒. มหาฎีกาว่า การบำเพ็ญฌานของศาสนิกชน ส่วนมากก็เป็นนิพเพธภาคิยะ แต่สำหรับ
พระพุทธเจ้าแล้วเป็นนิพเพธภาคิยะโดยส่วนเดียวแท้ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเจริญ
กรรมฐานนี้เองจึงได้ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
ส่วนบท อนุปุพเพน อริยมคควุฑฒิปปตโต ท่านอธิบายว่า สมาธินี้เป็นบาทแห่งอริยมรรค
เจริญไปโดยลำดับย่อมเป็นดุจเข้าถึงความเป็นอริยมรรค