ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 225
โดยเป็นตึกฌานหรือจตุกฌานส่วน ๑ เป็นอวเสสเอกฌานส่วน ๑ ดัง
กล่าวมานี้แล้วก็ดี ยังมีอานุภาพวิเสสไม่เหมือนกัน โดยภาวะมีความ
เป็นสุภปรมา (มีสุภวิโมกข์เป็นอย่างยิ่ง) เป็นต้น จริงอยู่ ใน
หลิททวสนสูตร อัปปมัญญาเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แปลก
กัน โดยภาวะมีความเป็นสุภปรมาเป็นอาทิ ตรัสไว้อย่างไร ? ตรัส
ไว้อย่างนี้ว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเมตตาเจโตวิมุติว่า มี
สุภวิโมกข์เป็นอย่างยิ่ง กล่าวกรุณาเจโตวิมุติว่า มีอากาสานัญจายตน
วิโมกข์เป็นอย่างยิ่ง กล่าวมุทิตาเจโตวิมุติว่า มีวิญญาณัญจายตนวิโมกข์
เป็นอย่างยิ่ง กล่าวอุเบกขาเจโตวิมุติว่า มีอากิญจัญญายตนวิโมกข์
เป็นอย่างยิ่ง" ดังนี้ ถามว่า ก็เพราะเหตุไฉน อัปปมัญญาเหล่านั่น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่าอย่างนั้น แก้ว่า เพราะอัปปมัญญาเหล่านั่น
เป็นอุปนิสัยแห่งวิโมกข์นั้น ๆ แท้จริง สัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นสิ่ง
ไม่ปฏิกูล (ไม่พึงเกลียด) สำหรับพระโยคาวจรผู้เป็นเมตตาวิหารี
ทีนี้ เพราะคุ้นในสิ่งไม่ปฏิกูล เมื่อพระโยคาวจรเมตตาวิหารนั้น นำจิต
เข้าในวรรณกสิณทั้งหลาย มีนีลกสิณเป็นต้น อันเป็นสีบริสุทธิ์ไม่
ปฏิกูล จิต (ของเธอ) ย่อมแล่นไปในวรรณกสิณนั้นโดยไม่ยากเลย
เมตตาเป็นอุปนิสัยแห่งสุภวิโมกข์ โดยนัยดังกล่าวนี้ ไม่ (เป็นอุปนิสัย
แห่งวิโมกข์) ยิ่งกว่า (สุภวิโมกข์) นั้นไป เพราะเหตุนั้น เมตตา
นั้น จึงตรัสว่าเป็น สุภปรมา (มีสุภวิโมกข์เป็นอย่างยิ่ง)
สำหรับพระโยคาวจรผู้เป็นกรุณาวิหารี ผู้มองเห็นความทุกข์ของ