ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 102
เป็นการบำเพ็ญสติปัฏฐาน) ฉะนี้เถิด
พระโยคาวจรนี้ เมื่อรู้ลมหายใจออกและลมหายใจเข้าตามอาการ
เหล่านี้ ทั้งโดยกาลระยะยาวและโดยกาลระยะสั้นอยู่อย่างนี้ บัณฑิต
พึงทราบว่า เธอได้ชื่อว่า เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ว่าเราหายใจออกยาว
หรือเมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ว่าหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ว่า
หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ว่าหายใจเข้าสั้น (ดังที่กล่าว
ในบาลี) ก็แลเมื่อภิกษุนั้นรู้อยู่อย่างนี้
ลม ๔ อย่าง คือลมหายใจออกยาวและสั้น แม้ลม
หายใจเข้าเล่าก็อย่างนั้น ย่อมเป็นไป (คือรู้สึก ?)
อยู่ที่ปลายจมูก" ของภิกษุนั่นแล
[แก้ สพฺพกายปฏิสัเวที]
ข้อว่า "เธอสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้ตลอดกายทั้งหมดหายใจ
ออก----หายใจเข้า" นั้น คือเธอใส่ใจว่าเราจักทำต้น กลาง ปลาย
แห่งกายคือลมหายใจทั้งสิ้นให้เป็นสิ่งที่เรารู้ คือทำ (ลมหายใจนั้น)
ให้เป็นสิ่งที่เห็นชัดหายใจออก ใส่ใจว่าจักทำต้นกลางปลายแห่งกายคือ
ลมหายใจทั้งสิ้นให้เป็นสิ่งที่เรารู้ คือทำ (ลมหายใจนั้น) ให้เป็นสิ่งที่
เห็นชัดหายใจเข้า เมื่อทำ (ลมหายใจ) ให้เป็นสิ่งที่ตนรู้ คือทำ
๑. วณฺณ แปลว่า อย่าง ชนิด ก็ได้
๒. ว ที่นาสิกคฺเคว นี้ มหาฎีกาท่านว่าเป็นวา รัสสะให้ได้คาถา และว่า วา ศัพท์นี้มีอรรถ
เป็นอนิยม เพราะฉะนั้น จึงรวมเอาริมฝีปากบนเข้าด้วย
รู้สึกว่าท่านคิดมากไป แม้จะเป็น ว อาธารณะ แต่นาสิกคเค ก็คงมิได้หมายเอาตรงจะงอย
จมูกเท่านั้น แต่หมายถึงบริเวณนั้น ซึ่งมันก็ถึงริมฝีปากบนด้วยอยู่เอง ต่างว่าเป็น วา อย่างท่าน
ว่าแล้วจะแปลอย่างไร