ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 101
หายใจเข้ายาว (นั้น) อุเบกขาก็ตั้งขึ้น
ลมหายใจออกและลมหายใจเข้ายาว (ที่เป็นไป) โดยอาการ 8
นี้นับเป็นกาย สิ่งที่เข้าไป (ทำกายนั้นเป็นอารมณ์) ตั้งอยู่ เป็นตัวสติ
อนุปัสนา (ความตามกำหนดดูกายให้รู้ตามที่มันเป็น) เป็นตัวญาณ
กาย เป็นที่เข้าไปตั้งอยู่ (แห่งสติ) มิใช่ตัวสติ สติ เป็นทั้งสิ่งที่เข้า
ไปตั้งอยู่ และเป็นตัวระลึกด้วย พระโยคาวจรตามกำหนดดูกายนั้น
ด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้นแล เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า "การตาม
กำหนดดูกายในกาย เป็นการบำเพ็ญสติปัฏฐาน" ดังนี้
นัยแม้ในรัสสบท (บทว่าด้วยลมหายใจสั้น) ก็ดุจนัยนี้ แต่นี่
เป็นความแปลกกัน คือคำว่า ทีฆ์ อนุสาส์ อทธานสงฺขาเต (เป็น
ลมหายใจออกยา ในเพราะกาลที่นับว่าระยะยาว) ที่ท่านกล่าวใน
ทีฆบท (บทว่าด้วยลมหายใจยาว) นั้นฉันใด ในรัสสบทนี้ คำนั้น
ก็มา (เป็น) ว่า รสฺสํ อสฺสาส์ อิตตรสงขาเต อสฺสสติ (ระบาย
ลมออกเป็นลมหายใจสั้น ในเพราะกาลที่นับว่าระยะสั้น) ฉันนั้น
เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงประกอบคำเข้าโดยใช้รัสสศัพท์ (แทน
ทีฆศัพท์) ไปจนถึงคำว่า เตน วุจฺจติ กาเย กายานุปสฺสนา สติ
ปฏฐานภาวนา (เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า การตามกำหนดดูกายในกาย
๑. มหาฎีกาว่า ลางอาจารย์ว่า "เพราะลมหายใจละเอียดเข้าโดยลำดับจนไม่ปรากฏว่ามีหรือ
ไม่มี จิต (ซึ่งตามกำหนดดูลมนั้น) จึงได้ผละคือเลิกกำหนด" แต่ส่วนมติของท่านว่าเมื่อลม
หายใจละเอียดหนักเข้าด้วยกำลังภาวนา ปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นแล้ว จิตจึงผละจากลมหายใจปกติ
(มาอยู่ที่ปฏิภาคนิมิต ?) อนึ่ง เมื่อปฏิภาคนิมิตเกิดได้สมาธิแล้ว จิตก็วางเฉยเพราะไม่ต้องพยายาม
ที่จะทำฌานให้เกิดอีก จึงว่าอุเบกขาตั้งขึ้น
๒. ปาฐะในฎีกาเรียงติดกันเป็น----กายานุปัสสนาสติหฏฐานภาวนา