ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 191
ผู้นั้นชื่อว่าข้องอยู่ในเวทนา----สัญญา----สังขาร ---- วิญญาณนั้น ติดอยู่ใน
เวทนา ฯลฯ วิญญาณนั้น เหตุนั้นแล จึงได้ชื่อว่า สัตว์"" ดังนี้
แต่ด้วยรุฬหิศัพท์ (ศัพท์งอก) โวหาร (ว่าสัตว์) นี้ ใช้ในท่านผู้
ปราศจากระคะแล้วก็ได้เหมือนกัน ดังคำ ตาลวัณฏะ (พัดก้านตาล)
ใช้ในพัดชนิดหนึ่ง ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ (สาน) ก็ได้ ฉะนั้น ส่วนพวก
อักขรจินตกะ (ผู้คิดเล่นอักขระ) ไม่วิจารความ ลงเอาว่า นั่นเป็น
คำนามเท่านั้น ข้างพวกท่านผู้วิจารความ ประสงค์ความว่า ชื่อว่า
สัตว์ เพราะประกอบด้วยสัตตะ ก็มี
สัตว์ทั้งหลายชื่อว่า ปาณะ เพราะภาวะคือการหายใจ หมาย
ความว่า เพราะมีความเป็นไปเนื่องด้วยลมหายใจออกหายใจเข้า
ชื่อว่า ภูต เพราะเป็นแล้ว หมายความว่า เพราะเป็นขึ้นพร้อม
คือ เกิดใหญ่ขึ้น
นิรยะ ท่านเรียกว่า ปุ๋ สัตว์ทั้งหลายย่อมเลื่อน หมายคามว่า
ย่อมไปในนิริยะที่เรียกนั้น เหตุนั้นจึงชื่อ บุคคล”
๑. สํ. ขันธวาร. ๑๗/๒๓๒
๒. มหาฎีกาว่า คำว่า สัตตะ ในที่นี้ ได้แก่พุทธ หรือ วิริยะ หรือ เดช เพราะฉะนั้น สตฺโตก
แปลว่า ผู้ประกอบด้วยพุทธ (คือความรู้) หรือผู้ประกอบด้วยวิริยะ หรือผู้มีเดช (คืออำนาจ)
ก็ได้
ท่านช่างคิดเสียจริงๆ แม้แต่บาลีอธิบายไว้ชัดเจนแล้วก็ยังอุตส่าห์คิดอยู่อีก น่าสนุก
๓. ตามนี้ บุคคล แปลว่า ผู้เลื่อนไปนรก ไม่น่าโมทนาเลย มหาฎีกาก็ที่จะไม่โมทนาเหมือนกัน
จึงไม่ช่วยขยายความอะไรเลย กลับไปนำเอาอรรถาธิบายของอาจารย์ทางนิรุติศาสตร์มากกล่าวไว้แทน
ว่า ทางนิรุติแก้ว่า "ชื่อว่า บุคคล เพราะเพิ่มจำนวน และเพราะเลื่อนไป” ตามนี้ ปู ออกเป็น
ปูรณ ส่วน คล ก็ คลธาตุ ในความเลื่อนไป แล้วก็มีอธิบายว่า แท้จริง สัตว์ทั้งหลายเกิดมา ก็
เป็นดุจมาเพิ่มจำนวนหมู่สัตว์นั้น ๆ ขึ้น และเลื่อน คือเลื่อนไปตามรุ่นตามคราวนั้น ๆ