ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 209
เหตุนั้นธรรมชาตินั้น จึงชื่อกรุณา (แปลว่าธรรมชาติที่เขาทำออกไป)
สาธุชนทั้งหลาย ย่อมบันเทิงต่อบุคคลผู้เพียบพร้อมไปด้วย
สมบัตินั้น ด้วยธรรมชาตินั้น เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นจึงชื่อว่า มุทิตา
(แปลว่า ธรรมชาติเป็นเหตุบันเทิงแห่งสาธุชน) นัยหนึ่งธรรมชาติ
นั้นบันเทิงในตัวเอง เหตุนั้นจึงชื่อมุทุตา (แปลว่า ธรรมชาติ
อันบันเทิง) อีกนัยหนึ่ง คำว่ามุทิตานั้น ได้แก่กิริยาบันเทิงเท่านั้น
เอง (นัยนี้ มุทิตา แปลว่า ความบันเทิง)
ธรรมชาติใดวางเฉย โดยละเสียซึ่งความขวนขวาย ในการ
มนสิการมีมนสิการว่า "(สพฺเพ สตฺตา) อเวรา โหนตุ" เป็นต้น
และโดยเข้าถึงความ (วางใจ) เป็นกลางเสีย เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น
จึงชื่อว่า อุเบกขา (แปลว่า ธรรมชาติผู้วางเฉย)
(วินิจฉัยโดยลักษณะเป็นต้น]
ส่วนวินิจฉัยโดยประการอื่นมีลักษณะเป็นต้น ในพรหมวิหาร
ธรรม ๔ นั้น พึงทราบ (ต่อไปนี้)
เมตตา มีความเป็นไปโดยอาการ (คิด) เกื้อกูล” (แก่สัตว์
ทั้งหลาย) เป็นลักษณะ มีอันนำเอาประโย
(คือเป็นกิจ) มีอันนำความอาฆาตออกไปเสียได้เป็นเครื่องปรากฏ
(คือเป็นผล ?) มีอันมองเห็นความที่สัตว์ทั้งหลายเป็นที่น่าเจริญใจเป็น
เหตุใกล้ ความรำงับไปแห่งพยาบาท (ด้วยอำนาจวิกขัมภนปหาน)
เป็นสมบัติ (คือคามถูกต้อง) แห่งเมตตานั่น ความเกิดขึ้นแห่ง
มหาฎีกาและให้แปลอีกนัยหนึ่งว่า มีอันยังอาการเกื้อกูลให้เป็นไปเป็นลักษณะ