ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑
[อุปจารและอัปปนา]
ๆ
- หน้าที่ 234
พระโยคาวจรนั้น นึกหน่วงเอากสิณคฆาฎิมากาสนิมิตนั้นแล้วๆ
เล่า ๆ ว่า 'อากาโส อากาโส - อากาศ อากาศ" ทำไปจนเป็นนิมิต
ที่นึกเอามาได้ (ตักกาหตะ) ตรึกเอามาได้ (วิตักการตะ) เมื่อเธอ
นึกหน่วง (นิมิตนั้น) แล้ว ๆ เล่า ๆ ทำไปจนเป็นนิมิตที่นึกเอามาได้
ตรึกเอามาได้อย่างนั้นอยู่ นิวรณ์ทั้งหลายก็รำงับ สติตั้งมั่น จิตเป็น
สมาธิชั้นอุปจาร เธอต้องเสพเจริญทำให้มากซึ่งนิมิตนั้นให้บ่อยเข้า ๆ
เมื่อเธอต้องเสพ เจริญ ทำให้มากบ่อยเข้า ๆ อย่างนั้นอยู่” อากาสา
นัญจายตนจิตย่อมแนบแน่งในอากาศ ดุจดังรูปาวจรจิตแนบแน่นใน
กสิณมีปฐวีกสิณเป็นต้น ฉะนั้น ก็แม้ในอากาสานัญจายตนฌานนี้
ชวนะ ๓ หรือ ๔ ดวงในส่วนเบื้องต้น ยังเป็นกามาวจรสัมปยุตด้วย
อุเบกขาเวทนาอยู่ ชวนะดวงที่ ๔ หรือที่ ๕ จึงเป็นอรูปาวจร คำ
พรรณนาที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้ว ในปฐวีกสิณนั่นแล
ด.
๔
มหาฎีกาตั้งข้อสังเกตว่า "ไฉนท่านจึงมากล่าวถึงนิวรณ์ ในที่นี้อีก นิวรณ์ทั้งหลายรำงับไปแล้ง
แต่ในอุปจารขณะแห่งรูปาวจรปฐมฌาน ตั้งแต่นั้นมันก็ไม่เกิดอีก มิใช่หรือ ถ้ามันเกิด ก็เสื่อม
จากฌานละซิ ส่วนที่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า "นิวรณ์ละเอียดที่จะพึงละด้วยอรูปฌานมีอยู่
เหมือนกัน ที่ท่านกล่าวถึงการละนิวรณ์ในที่นี้อีกนั้น ก็หมายถึงนิวรณ์ละเอียดนั้นเอง" นี้ก็เป็น
แต่มติของอาจารย์เหล่านั้น เพราะในมหัคคตกุศลทั้งหลาย หามีการละเป็นชั้น ๆ เหมือนใน
โลกุตตรกุศลไม่... แต่ที่จริง คำว่านิวรณ์รำงับ ในที่นี้ท่านกล่าวเป็นโวหารพรรณนาสรรเสริญ
ไปอย่างนั้นเอง กิเลสที่ละแล้วในเบื้องต่ำมากล่าวการละอีกในเบื้องสูง ก็มีกล่าวในที่อื่นเหมือนกัน...
ท่านแก้นุ่มนวลดีแท้ ถ้าเป็นเราก็ว่า "ท่านเผลอไปกระมัง"
๒. ตรงนี้ปาฐะในฉบับวิสุทธิมรรคเป็น ตสฺส ปูนปุปุน อาวชฺชโต มนสิกโรโต เห็นว่า
คลาดเคลื่อน เพราะประโยคหน้าเป็น อาเสวติ ภาเวติ พหุลีกโรติ ประโยคหลังนี้ก็ต้อง
เป็น อาเสวโต ภายโต พหุลีกโรโต ไปตามกันจึงจะถูก ในที่นี้แก้และแปลตามที่เห็นว่าถูก