ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 132
เข้าออกได้ฉันนั้นเหมือนกันแล” ต่อนั้นเธอย่อมกำหนดลงได้ว่า ลม
อัสสาสะปัสสาสะและกายด้วย เป็นรูป จิตและธรรมที่สัมปยุตกับจิตนั้น
ด้วย เป็นอรูป นี้เป็นความสังเขปในการกำหนดนามรูปนั่น ส่วนการ
กำหนดนามรูปโดยพิสดารจักมีแจ้งข้างหน้า
ครั้งทําหนดนามรูปได้อย่างนี้แล้วก็หาปัจจัยของมันดู เมื่อหาด
เห็นมันแล้วก็ข้ามความสงสัยปรารภความเป็นไปแห่งนามรูปในกาลทั้ง
๓ เสียได้ ผู้ข้ามความสงสัยได้แล้ว ยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ โดยพิจารณา
เป็นกลาป ละวิปัสนูปกิเลส ๑๐ มีโอภาสเป็นต้น อันเกิดขึ้นในส่วน
เบื้องต้นแห่งอุทยัพพยานุปัสนาเสีย กำหนดเห็นปฏิปทาญาณอันพ้น
จากอุปกิเลสแล้วว่าเป็นทาง ละ (การพิจารณา) ข้างเกิดแล้ว ก็ถึง
ภังคานุปัสนา (ดูแต่ข้างดับ) แล้วก็เบื่อหน่ายหายรัก ในสังขารทั้งปวง
ที่ปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เพราะเห็นแต่ข้างดับหาระหว่างมิได้
หลุดพ้นไป ถึงอริยมรรค ๔ ตามลำดับ ตั้งอยู่ในอรหัตผล ถึงที่สุด
แห่งปัจจเวกขณญาณ ๑๕ ประเภท เป็นอัครทักขิไณยของโลกกับทั้ง
เทวดา
ก็แล การเจริญอานาปานสติสมาธิแห่งโยคาวจรภิกษุนั้น อัน
จัดเอาคณนา (วิธีนับ) เป็นเบื้องต้น มีปฏิปัสนา (คือปัจจเวกขณะ)
เป็นปริโยสาน ก็เป็นอันจบลงแต่เพียงนี้แล นี้เป็นพรรณนาจตุกกะ
ที่ ๑ (จบ) โดยอาการทั้งปวง ส่วนในจตุกะ ๓ นอกนี้ เพราะ
ไม่จัดว่ามีนัยแห่งการเจริญกรรมฐานอีกแผนกหนึ่ง เพราะฉะนั้น
က
* มหาฎีกาว่า กรัชกาย เหมือนตา จิต เหมือนความพยายามของคน