ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 118
ไหวและวุ่นวาย" ดังนี้ เพราะเหตุนั้น เมื่อจะมนสิการ โดยวิธีอนุ
พันธนา อย่าพึ่งมนสิการโดย (ตามไปกำหนด) ต้น กลาง ปลาย
ที่แท้มนสิการ โดยวิธีผุสนาและธูปนานั่นแล
แท้จริง การมนสิการโดยวิธีผุสนาและวิธีฐปนา หาได้มีเป็นส่วน
หนึ่งต่างหาก ดังมนสิการโดยวิธีคณนาและอนุพันธนาไม่ แต่ว่าผู้ที่
นับ (ลม) อยู่ตรงที่ ๆ ลมกระทบ ๆ นั่นแหละ ชื่อว่ามนสิการโดย
วิธีคณนาด้วย โดยวิธีผุสนาด้วย ผู้ที่เลิกนับแล้วติดตามลมอัสสาสะ
ปัสสาสะนั้นไปด้วยสติ และตั้งจิตไว้ตามทางอัปปนา ในที่ ๆ ลมกระ
ทบ ๆ นั่นแหละ ก็เรียกว่ามนสิการ โดยวิธีอนุพันธนาด้วย โดยวิธี
ผุสนาด้วย โดยวิธีฐปนาด้วย ความข้อนี้นั้น บัณฑิตพึงทราบโดย
อุปมาด้วยคนง่อยและคนรักษาประตู ที่กล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลาย
และโดยอุปมาด้วยเลื่อย ที่กล่าวไว้ในปฏิสัมภิทา
ใน ๓ อุปมานั้น นี่เป็นอุปมาด้วยคนง่อย คือคนง่อยไกวชิงช้า
ให้แม่ลุกผุ้เล่นชิงช้ากัน” นั่งอยู่ที่โคนเสาชิงช้านั้นแหละ ย่อมเห็นปลาย
๒ ข้าง ทั้งตรงกลางด้วย” ของกระดานชิงช้าอัน (แกว่ง) มาและไป
อยู่โดยลำดับ แต่ก็มิได้ขวนขวายจุดปลายทั้ง ๒ ข้าง และกลาง (ของ
๑. ถ้ายอมรับว่า พระพุทธโฆสแต่งวิสุทธิมรรคนี้ก่อนอรรถกถาอื่น ๆ คำว่า "ในอรรถกถาทั้งหลาย
นี้ ก็ต้องหมายถึงอรรถกถาทั้งหลาย ที่ปราชญ์ชาวสีหลแต่งไว้ก่อน เช่น มหาอรรถกถา (?)
๒. มหาฎีกาว่า คำว่า แม่ลูก (มาตุปุตฺตาน) หมายถึงภรรยาและบุตรของเขา
๓. มหาฎีกาว่า ที่เห็นว่าปลายกระดานทั้ง ๒ ข้างนั้น คือ เมื่อมันแกว่งมา เห็นปลายหน้า เมื่อ
มันแกว่งไป เห็นปลายหลัง เช่นนี้เราต้องเข้าใจว่า ท่านหมายถึงเขาไกวให้มันแกว่งไปมาทางปลาย
กระดาน อย่างชิงช้าหน้าโบสถ์พราหมณ์ กรุงเทพฯ ไม่ใช่ไกวให้แกว่งทางหน้ากระดาน อย่างที่
เห็นตามสนามเด็กเล่น