ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 127
หยาบ เหมือนเม็ดฝ้ายและเหมือนเสี้ยนไม้แก่นก็มี ลางท่านเหมือน
สายสังวาลยาว เหมือนพวงดอกไม้และเหมือนเปลวควันก็มี ลางท่าน
เหมือนใยแมลงมุมที่ขึงแล้ว เหมือนแผ่นเมฆ เหมือนดอกปทุม
เหมือนล้อรถ เหมือนวงดวงจันทร์ และเหมือนวงดวงอาทิตย์ก็มี
ก็แลกรรมฐานนี้นั้นก็อย่างเดียวนั่นแล (แต่นิมิต) ปรากฏต่าง ๆ กัน
ก็เพราะความที่พระโยคาวจรมีสัญญาต่าง ๆ กัน เปรียบเหมือนเมื่อภิกษุ
หลายรูปนั่งสาธยายพระสูตร (สูตรหนึ่ง) กันอยู่ ครั้นภิกษุรูปหนึ่ง
กล่าว (ถาม) ขึ้นว่า สูตรนี้ปรากฏแก่ท่านทั้งหลายเป็นเช่นอะไร ภิกษุ
รูปหนึ่งก็บอกว่า ปรากฏแก่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลำน้ำใหญ่ที่ไหลลงจาก
ภูเขา อีกรูปหนึ่งบอกว่า สำหรับข้าพเจ้าเหมือนแนวป่าอันหนึ่ง
(ซึ่งสะพรั่งด้วยไม้เป็นแนวไป ?) รูปหนึ่งบอกว่า สำหรับข้าพเจ้า
เหมือนต้นไม้ที่เต็มไปด้วยพวงผล เพรียบพร้อมไปด้วยกิ่งก้านมีร่มเงา
เย็น อันที่จริง พระสูตรนั้นก็สูตรเดียวนั่นแหละ (แต่) ปรากฏแก่เธอ
ทั้งหลายต่าง ๆ กัน เพราะความที่เธอทั้งหลายมีสัญญาต่างกัน ฉะนั้น
ด.
มหาฎีกาว่า อุปมาทั้งหลาย มีเม็ดมณีเป็นต้นไป ควรจะเป็นปฏิภาคนิมิต
๒. เรื่องอุปมาด้วยภิกษุหลายรูปสาธยายพระสูตรเดียวกัน ปรากฏความรู้สึกต่าง ๆ กันนี้เข้าใจ
ยากอยู่ มหาฎีกาท่านจึงช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้ว่า ที่พระสูตรปรากฏเหมือนสายน้ำ ใหญ่ใหลลง
จากภูเขานั้น หมายถึงสวดได้คล่อง เปื่อยไม่ขาดสาย ราวกะสายน้ำไหลพลั่ง ๆ ลงจากภูเขา
ที่ว่าเหมือนแนวป่าหมายถึงพระสูตรนั้นมีความงามด้วยอรรถ และพยัญชนะ เป็นถ่องแถวไป
แต่ต้นจนจบ ราวกะหมู่ไม้ในป่าต้นฤดูฝน ผลิตอกออกใบงามสะพรั่งเป็นแนวเนื่องไปทั้งป่า
ที่ว่าเหมือนไม้ออกผล... มีเงาร่มเย็น หมายถึงพระสูตรนั้น มีอนุสนธิหลายตอนมีนัยต่าง ๆ
ละเอียด แสดงกรรมฐานหลายอย่างต่างวิธี พอที่คนผู้มีความประสงค์จะอาศัยศึกษาเป็นแนวทาง
ปฏิบัติได้อย่างดี ราวกะต้นไม้มีผลดก... ร่มเงาเย็น เป็นที่อาศัยของคนและสัตว์ ที่ต้องการผล
ก็เข้าเก็บกิน ที่ต้องการร่มเงาก็เข้าจับเข้าพัก