ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 130
มั่น) โดย (การตั้งภาวนาจิตไว้ในปฏิภาคนิมิต มี) ประการดังกล่าว
ภาวนาของเธอนี้ จำเดิมแต่ (เกิดปฏิภาคนิมิตขึ้น) นี้ไป จึงเป็น
ภาวนาเนื่องด้วยวิธีฐปนา สมดังคำพระโบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าว
ไว้ว่า
พระโยคาวจรผู้มีปัญญาตั้งจิตไว้ใน (ปฏิภาค)
นิมิต ยังอาการต่าง ๆ ในลมอัสสาสะ ปัสสาสะ
ให้หายไป ย่อมผูกจิตของตนไว้ (ให้เป็น
อัปปนา) ได·
ตั้งแต่ปรากฏนิมิตอย่างนั้นไป นิวรณ์ทั้งหลายก็เป็นโทษที่เธอ
ข่มได้แน่ กิเลสทั้งหลายระงับเงียบไป สติมั่นคง จิตดำรงมั่นโดย
อุปจารสมาธิเป็นแท้
ลำดับต่อไป นิมิตนั้น เธออย่าพึงใส่ใจโดยสี อย่าพึงกำหนด
โดยลักษณะเลยทีเดียว” แต่ว่าพึงเป็นผู้เว้นอสัปปายะ ๓ มีอาวาส
(ที่เป็นอสัปปายะ) เป็นต้น แล้วเสพสัปปายะ ๒) มีอาวาส (ที่เป็น
๑. นานาการ - อาการต่าง ๆ หมายถึงที่เรียกว่า "จตุตาโร วณฺณา” คือ หายใจออกสั้น - ยาว
หายใจเข้าสั้น - 1
น - ยาว เป็นอาการ ๔ อย่าง
วิภาวย์ ท่านแก้เป็น ๒ นัย ๆ แรก แปลว่า 'ทำให้หายไป' คือให้อันตรธานไป หมายความ
ว่า ตั้งแต่ปฏิภาคนิมิตเกิดแล้ว พระโยคาวจรมิได้ใส่ใจถึงลม อาการเหล่านั้นจึงเท่ากับอันตรธานไป
อีกนัยหนึ่ง ลางท่านแปล วิภาวย ว่า "ทำให้มี - ให้ปรากฏ" ถ้าแปลอย่างนี้ต้องยกขึ้นแปล
ก่อน ธูปย์ ดังนี้ "พระโยคีผู้มีปัญญายังอาการต่าง ๆ ในลมอัสสาสะปัสสาสะให้ปรากฏ คือ รู้ลม
เหล่านั้นโดยอาการต่าง ๆ ---นิมิตใดในลมนั้นเกิดขึ้น ตั้งจิตไว้ในนิมิตนั้น ย่อมผูกจิตของตนไว้ได้
คือทำให้เป็นอัปปนาได้โดยลำดับ ในที่นี้แปลตามนัยแรก
๒. ปจจเวกขิตพพ์ นี้ ในมหาฎีกาเป็น ลูกขิตพพ์ ดูจะเข้าที่กล่า เพราะเข้ารูปกับ ลูกขณโต สนิท