ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 110
เมื่อเป็นเช่นนั้น (คือเมื่อกายสังขารระงับไปอย่างนั้น ?) การทำ
วาตุปลัทธิให้เกิดต่อไปก็ยังมีได้ การยังลมหายใจออกและลมหายใจ
เข้าให้เป็นไปก็มีได้ การเจริญอานาปานสติต่อไปก็มีได้ การบำเพ็ญ
อาหาปานสติสมาธิต่อไปก็มีได้ และบัณฑิตทั้งหลายเข้าสมาบัตินั้นก็ได้
ออกจากสมาบัตินั้นก็ได้อยู่" ตามที่กล่าวมานี้มีอุปมาอย่างไร ? อุปมา
เหมือนเมื่อกังสดาลถูกเคาะแล้ว เสียงหยาบย่อมเป็นไปก่อน จิต (ความ
รู้สึกของคน ?) ก็เป็นไปได้ เพราะถือเอานิมิต” แห่งเสียงหยาบได้ง่าย
เพราะทำนิมิตแห่งเสียงหยาบไว้ในใจได้ง่าย เพราะจดจำนิมิตแห่ง
เสียงหยาบได้ง่าย แม้เมื่อเสียงหยาบดับแล้ว หลังนั้นถัดไปเสียง
ละเอียดก็ยังเป็นไป จิตก็ยังเป็นไปได้ เพราะยังถือเอานิมิตแห่งเสียง
ละเอียดได้ดี เพราะยังทำนิมิตแห่งเสียงละเอียดไว้ในใจได้ดี เพราะยังจด
จำนิมิตแห่งเสียงละเอียดได้ดี ครั้นเมื่อเสียงละเอียดดับแล้วเล่า หลังนั้น
ไป จิตก็ยังเป็นไปได้แม้เพราะมีนิมิตแห่งเสียงละเอียดเป็นอารมณ์ ฉันใด
ก็ดี อุปไมยก็ฉันนั้น ลมหายใจออกหายใจเข้าที่หยาบย่อมเป็นไปก่อน จิต
ก็ไม่ส่ายไป เพราะถือเอานิมิตแห่งลมหายใจออกหายใจเข้าที่หยาบได้ง่าย
เพราะทำนิมิตแห่งลมหายใจออกหายใจเข้าที่หยาบไว้ในใจได้ง่าย เพราะ
๑.
นัยมหาฎีกาอธิบายว่า เพราะกายสังขารหยาบ ๆ ระงับไป แต่ที่ละเอียด ๆ ยังมีอยู่ เมื่อ
ละเอียดถึงที่สุดโดยลำดับแล้ว นิมิตเกิด ก็ถือนิมิตนั้นเป็นอารมณ์ เจริญอานาปานสติ และ
อานาปานสติสมาธิต่อไปได้
บาลีปฏิสัมภิทานี้ท่านใช้สำนวนลึกเต็มที่ โดยเฉพาะประโยค อิติ กิร นั้นลับลี้มาก ได้อาศัย
นัยมหาฎีกาท่านจึงทราบว่า ประโยค อิติ กิร ข้างหน้าเป็นประโยคโจทนา คือคำท้วง ส่วน อิติ
กร หลัง เป็นประโยคโสธนาคือคำเฉลย จึงพอจับเค้าแปลให้เป็นภาษาได้ดังนั้น
๒. นิมิตตต์ มหาฎีกาว่าเป็นทุติยาวิภัติในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัติ เท่ากับ นิมิตฺตสฺส หมายความว่า
เป็นภาวาทีสัมพันธ์ในบทหลัง ?