ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 142
ตรัสไว้ว่า "อานาปานสติ ภิกษุพึงบำเพ็ญเพื่อตัดเสียซึ่งวิตก" ดังนี้
อนึ่ง ความที่อานาปานสตินั้นมีอานิสงส์มาก บัณฑิตพึงทราบโดย
ความเป็นมูลแห่งการทำวิชชาและวิมุติให้บริบูรณ์ก็ได้ จริงอยู่ พระผู้มี
พระภาคเจ้าก็ได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ
ภิกษุเจริญทำให้มากแล้ว ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ สติ
ปัฏฐาน ๔ ภิกษุเจริญทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุติให้
บริบูรณ์" ดังนี้
อีกอย่างหนึ่ง ความที่อานาปานสตินั้นมีอานิสงส์มาก พึงทราบ
โดยทำความรู้ลมอัสสาสะปัสสาสะที่เป็นจริมกะ (คือครั้งสุดท้าย) ก็ได้
สมคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส (ในราหุโลวาทสูตร) ว่า "ดูกรราหุล
เมื่ออานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล
แม้ลมอัสสาสะปัสสาสะอันเป็นจริมกะดับก็รู้ หาดับไม่รู้ไม่ ดังนี้
ในลมเหล่านั้น ว่าโดยความดับ มีจริมกะ ๓ คือ ภวจริมกะ
(สุดด้วยอำนาจภาพ) ฌานจริมกะ (สุดด้วยอำนาจฌาน) จุติ
จริมกะ (สุดโดยจุติ) ว่าข้างภพ ลมอัสสาสะปัสสาสะทั้งหลายย่อม
เป็นไปในกามภพ หาเป็นไปในรูปภพและอรูปภพไม่ เพราะฉะนั้น
ลมเหล่านั้น จึงชื่อภวจริมกะ (สุดด้วยอำนาจภพ) ว่าข้างฌาน ลม
๑. อง. นวก. ๒๓/๒๗๑ ๒. ม. อ. ๑๔/๑๙๓ ๓. ม. ม ๑๓/๑๔๒