ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 105
ดังนี้ ก็กายและจิตของภิกษุนี้ ในกาลก่อนที่ยังมิได้กำหนดถือเอา
(อานาปานสติกรรมฐานนั้น) เป็นกายจิตที่ยังมีความกระวนกระวาย
(นับว่า) ยังหยาบ ครั้นความหยาบแห่งกายจิตยังไม่สงบ แม้ลมหายใจ
ออกและลมหายใจเข้าก็เป็นลมหยาบ คือเป็นไปแรงมาก จมูกไม่พอ
ยืนหายใจทั้งออกทั้งเข้าทางปาก ต่อเมื่อใด ทั้งกายทั้งจิตของเธอ
ถูกกำหนดถือเอา (เป็นที่ตั้งกรรมฐาน) แล้ว" เมื่อนั้นมันก็ละเมียด
เข้า (จน) สงบไป ครั้นกายจิตนั้นสงบแล้ว ลมหายใจออกและเข้า
ก็เป็นไปละเอียดลง (จน) ถึงซึ่งอาการคือความที่ต้องวิจัยว่ามีอยู่หรือ
ไม่มีหนอ อุปมาเหมือนลมหายใจออกและเข้าของคนที่วิ่งลงมาจากภูเขา
หรือปลงของหนักมากลงจากศีรษะแล้วยืนอยู่ ย่อมเป็นลมหยาบ จมูก
ไม่พอ ยืนหายใจทั้งออกทั้งเข้าทางปากอยู่ ต่อเมื่อใดเขาบรรเทา
ความเหนื่อยนั้นแล้ว ได้อาบและดื่มน้ำแล้ว ทำ (คือประทับ) ผ้า
เปียกไว้ตรงที่หัวใจ” นอน (พัก) เสียที่ร่มอันเย็น ที่นี้ลมหายใจออก
เข้าของเขานั้นก็ละเอียดลง (จน) ถึงซึ่งอาการคือความที่ต้องวิจัยว่ามี
อยู่หรือไม่มีหนอ"" ฉันใดก็ดี กายและจิตของภิกษุนี้ ในกาลก่อน
ที่ยังมิได้กำหนดถือเอา (อานาปานสติกรรมฐานนั้น) ฯลฯ ถึงซึ่ง
อาการคือ ความที่ต้องวิจัยว่ามีอยู่หรือไม่มีอยู่หนอ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
๑. มหาฎีกาไขความว่า กิริยาที่นั่งคู่บัลลังก์ตั้งกายตรง เป็นกายปริคหะ กิริยาที่ดำรงสติไว้เฉพาะ
หน้า เป็นจิตตปริคหะ
๒. เพิ่งทราบนี่เองว่า การใช้ผ้าเปียกประทับอก ช่วยทำให้หายเหนื่อยได้
๓. ท่านพรรณนาเพลินไปกระมัง การนอนพักเช่นนั้น ลมหายใจจะละเอียดถึงต้องวิจัยเทียวหรือ
ถ้ายิ่งหลับกรนฟู ๆ ก็ยิ่งไม่ต้องวิจัยเลย