ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - วิภัชภิรณกรรมแปลง ภาค 3 (ตอนจบ) - หน้าที่ 3
[วิบาสามวิฬเหว่าวิสานิกะ]
[กำหนดคามรูปโดยอุตุวฎวัฎฐาน]
ส่วนพระโโยคาจะผู้เป็นวิบาสามวิฬเหว่าล้านะ หรือผู้ที่เป็นสมณภิกะ (ตามที่กล่าวแล้ว) เนื่องก็ากำหนดจับธาตุ ๔ อย่างส่งเปนหรืออย่างผิดกาด โดยธาตุปริรษหมุน (ทางกำหนดธาตุ) นั้น ๆ ที่กล่าวแล้วในอุตุวัฏฐานมูลุดมบหนึ่ง (ครั้งกำหนดจับได้แล้ว) ลำดับนั้น ในรฐูกั้งหลายอันปรากฏชุดโดยรส (คือสภาพที่พึ่งแจ้ง) และลักษณะของตนตามเป็นจริงแล้ว (จะว่า) ในผมซึ่งมีกรรมเป็นสมณฐานก่อน รูป ๑๐ (ในผมนี้) โดยบังคับแห่งกายสกละ (กลุ่มรูป ๑๐ ทั้งกาย) ดังนี้คือ ธาตุ ๔ สีกลิ่นรส โอชา ชีวิต กายประสาท รูป ๑๐ โดยบังคับแห่งกามสกละ (กลุ่มรูปร ๑๐ ทั้งกวะคือเพศ) เพราะในผมที่มีกรรมเป็นสมณฐานนี้และมีภาวะด้วย รูป ๒๔ แม่ อื่นอีกในกลุ่มรูปที่มีชื่อว่ามันเหมือนกัน คือ โอซฐุมรรูป (กลุ่มรูปโพชิเป็นที่ ๒) ที่มีอาหรเป็นสมุฏฐาน โอซฐุมรรูปมีอุคูเป็นสมุฏฐาน โอชิทธรรมปฏิจจสมฐาน (กลุ่มละ ๔ รวมเป็น ๒๔ กับบ้างต้นอีก ๒๐ รวมเป็น ๔๕) ย่อมปรากฏแก่พระโโยวกาวนั้นแล
๑. วิบาสามวิฬเหว่าคือผู้ประกอบวิบาสามโดยไม่อายสมะ ใช้วิบาสามเป็นนานเลวเดียว ที่ว่า วิบาสามวิฬเหว่าล้าน ก็หามาความว่าไม่เจือปนด้วยสมภาวนานั้นเอง
๒. เช่นกำหนดโดยุมสังเขปว่า ส่งได้มีลักษณะแข็งแรง ส่งนั้นเป็นปุริสทัจ เป็นตัน
๓. มหาปฏิว่า ผมมันเกิดคิดอยู่ในหนุง จึงนับเป็นกรรมสมุฏฐาน
๔. มหากิ่วว่า ภาวะนี้เป็นอบายอุบายร่าง เช่นเดียวกับกายประสาทเหมือนกัน