ข้อความต้นฉบับในหน้า
ปรโปกษ- วิจิตรอมรเปล ภาค 3 (ตอนจบ) - หน้าที่ 19
สิ่งมีความคำี มีความพยายาม ด้วยอำนาจจากประกอบกันและกันเข้า
ฉันนั้น เพราะฉะนั้น พระไตรญาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า
"นามและรูป (เท่านั้น)╚มีอยู่ในโลกนี้โดย (ปรมัตถ)╚
ดังจะ ก็แต่ในนามและรูปนั้น สัตว์และคนไม่มีเลย
นามและรูปนี้เป็นของว่างเปล่า อันเป็นปัจจัยปรุงแต่ง
ขึ้น เหมือนยุนร์ มันเป็นกองทุกข์ เป็นเช่นกันกับ
(กอง) หายและฟื้น"
อนึ่ง นามรูปนี้น่าจะควร (อธิบาย) ให้แจ่มแจ้งด้วยอุปมาอุปไมย
ไม่นดรเพียงเท่านั่นหามิได้ บนทิตควร (อธิบาย) ให้แจ่มแจ้งแม้ด้วย
อุปมาอื่น ๆ (อีก) มีกำอ้อมเป็นต้น จริงอยู่ เมื่อก่ออ็้อ กำเขาตั้ง
พิกันไว้ มันด้าคำกันไว้ เมื่ออำหนึ่งส้ม อีกคำหนึ่งก็สัมด้วย ฉันใด
นามและรูปในปัญญาโภคาพ ก็อาศัยกันและกันเป็นไป ต่างคำอันกัน
ไว้ เมื่ออย่างหนึ่งสัมด้วยอำนาจมารณะ อีกอย่างหนึ่งสัมด้วย ฉันนั้น
เหมือนกัน เพราะฉะนั้น พระไตรญาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวไว้ว่า
"นามและรูปนี้คู่กัน ทั้งอุ่อกัษกันและกัน
เมื่ออย่างหนึ่งแตก ก็แตกทั้งคู่ตามปัจจัย"
อนึ่ง เมื่อเสียงอัสถกลองที่คนดีด้วยไมไ่ปเป็นไปอ ย กลองอืนหนึ่ง
เสียงก็อันหนึ่ง กลองและเสียงไม่ได้ปนกัน กลองว่างจากเสียง เสียงก็
ว่างจากกลองฉันใด เมื่อมามอัศจรรกลกล่าวคือ (หย่า) วัตถุ ทรรว
และอามนุษเป็นไปอยู่ รูปก็อันหนึ่ง นามก็อันหนึ่ง นามและรูปไม่ได้
ปนกัน นามว่างจากรูป รูปว่างจากนาม ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นแต่