ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยคเสร - วิสุทธิธรรมแปล ภาค 3 ตอน 2 (ตอนจบ) - หน้าที่ 133
แล้ว เธอคงสงารที่เห็นแล้ว (คือที่ปรากฏนี้) ให้ดับ มิใช่ให้เกิด ขึ้น ฉันใด ก็ยังสงารแม้ที่ไม่ได้เห็น (คือเป็นอดีตอนาคต) ให้ดับ มีชึให้เกิดขึ้น ด้วยอำนาจอนุญาต (คือรู้โดยอนุโมทหรืออนุมัติ ตามที่ปรากฏแล้ว) ฉนั้น หมายความว่า ทำในใจแต่บ่บ คับ แต่ ความดับของมันบ่งเดียว ไม่ดูความเกิด
เธอปฏิบัติได้อย่างนั้นแล้ว ก็ชื่อว่า สลดทิ้ง (สงสาร) ได้ มิใช่
คือเอาไว้ ข้อมีอธิบายอย่างไร ? อธิบายว่า แม้อนุญาปนามี อนิจจาปนามีเป็นแต่นี้ ก็เรียกได้ว่า เป็นปรกฏปฏิบัติสักจะ (สงสัง โดยการสะเสีย) และเป็นปกิณปฏิบัติสักจะ (สงสังทั้งโดยแสนไปเสีย) เพราะสะกิดสังทั้งหลายเสียพร้อมทั้งบ้างและอธิสังขร (คือ กรรม) ด้วยอำนาจทั้งคบหนา และเพราะด้วยการเห็นโทษในสงขธรรม จังแสนไปเสียในพระนิพพาน อันตรรัตินำข้ามกับสงขธรรมนัน โดยกรียที่น้อมไปพระนิพพานนั้น เหตุนี้ ภิกษุ ผู้ประกอบพร้อมด้วยอุปนิสัยอันจุติอุปนิสัยเป็นต้นนั้น จึงสงสังสทั้งหลายได้ และแสนไปในพระนิพพานได้ด้วย โดยนัยดังกล่าวแล้ว ทั้งไม่ยึดเอาเกลิสทั้งหลายไว้โดยทำให้มันเกิดขึ้น ไม่จัดเอารวมมัน ที่เป็นสงธรรมไว้ โดยความที่ไม่เห็นโทษ เพราะฉะนั้น ว่า ปฏิญาสนาครโต อนาจิต-สงสังทั้งเสีย มีข้อถือไว้
๑. ท่านแต่งนี้ ก็เท่ากับบอกว่า คำศัพท์ปฏิวาสสะ คำสรร2 อย่าง สะล่าได้ แก้ไปเสียก็ได้
๒. มหาอุทธก่ช่วยขยายความว่า เมื่อจะเกิดสัสได้ ก็ชื่อว่ากรรม อันมิคสั่นนี้เป็นเหตุ และ ขันอนเกิดแต่กรรมมันได้ด้วย