ข้อความต้นฉบับในหน้า
อย่างนั้นยังไม่พอ นักวิทยาศาสตร์จะต้องสามารถอธิบายข้อเท็จจริงหรือหลักการนั้นได้ด้วยว่า
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงพยายามสร้างแบบจำลอง (Model) ขึ้น เขียน
หลักการอย่างกว้าง ๆ เกี่ยวกับสิ่งนั้นขึ้น โดยที่คิดว่า แบบจำลองที่สร้างขึ้นนั้นจะใช้อธิบายข้อ
เท็จจริงย่อยๆ ในขอบเขตที่เกี่ยวข้องนั้นได้ และสามารถทำนายปรากฏการณ์ที่ยังไม่เคยพบใน
ขอบเขตของแบบจำลองนั้นได้ เราเรียกแบบจำลองที่สร้างขึ้นนี้ว่า ทฤษฎี ในการสร้างทฤษฎี
นั้น นักวิทยาศาสตร์อาจทำได้ 2 วิธี คือ
5.1) สร้างโดยการศึกษาข้อมูลที่ได้จากการสังเกตหรือการทดลองเสียก่อนแล้วจึงใช้วิธี
การอุปมาน รวมกับการสร้างจินตนาการ สร้างเป็นแบบจำลองหรือข้อความที่ใช้อธิบายผล การ
สังเกตนั้นให้ได้
5.2) สร้างทฤษฎีโดยอาศัยความคิดสร้างสรรค์แต่เพียงอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องใช้
ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตหรือการทดลอง
(6) กฎ เป็นหลักการอย่างหนึ่ง แต่เป็นหลักการที่มักจะเน้นความสัมพันธ์ระหว่าง
เหตุกับผล ซึ่งอาจเขียนสมการแทนได้ กฎมีความเป็นจริงในตัวของมันเอง สามารถทดสอบได้
ผลตรงกันทุกครั้ง แต่ถ้ามีการทดลองใดที่ได้ผลขัดแย้งกับกฎแล้ว กฎนั้นจะต้องยกเลิกไป
นอกจากนี้ กฎจะต้องอาศัยทฤษฎี ซึ่งเป็นข้อความสำหรับอธิบายให้เข้าใจว่า ทำไมความ
สัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผลของกฎนั้นจึงเป็นเช่นนั้น
4.) เจตคติทางวิทยาศาสตร์
เจตคติ หมายถึง ท่าทีหรือความรู้สึกของบุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในที่นี้หมายถึง ท่าทีหรือ
ความรู้สึกของนักวิทยาศาสตร์ที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ในโลกหรือสิ่งที่กำลังศึกษาค้นคว้า ซึ่งโดยทั่วไป
นักวิทยาศาสตร์จะมีเจตคติดังต่อไปนี้
(1) ตระหนักในความไม่แน่นอนของสรรพสิ่ง เชื่อแน่ว่าไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ใด ๆ เป็นความรู้สุดยอดไม่มีการเปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์
(2) ยึดมั่นในความจริงและข้อเท็จจริง
(3) ยึดมั่นในอิสระเสรีภาพทางความคิดพร้อมที่จะยืนยันและต่อสู้ป้องกันความคิด
เห็นของตนเอง ไม่เชื่อตามความเชื่อที่สืบทอดกันมาโดยไม่มีเหตุผล
อุปมาน หมายถึง การเปรียบเทียบสิ่งที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
36 DOU สรรพ ศ า ส ต ร์ ในพระไตรปิฎก