ข้อความต้นฉบับในหน้า
รู้จักเก็บรักษาทรัพย์ คบมิตรดี และใช้จ่ายอย่างพอดี ส่วนความยากจนก็เกิดจากการไม่สั่งสม
อริยทรัพย์คือบุญและไม่ขวนขวายสร้างฐานะ
เบื้องหลังของเศรษฐกิจในระดับประเทศก็เกิดจากสาเหตุ 2 ประการดังกล่าว คือ บุญ
โดยรวมของคนทั้งประเทศ และการขวนขวายสร้างฐานะของคนทั้งประเทศ หากประเทศใดที่บุญ
โดยรวมของคนทั้งประเทศมีมาก และประชาชนโดยส่วนใหญ่ขวนขวายในการสร้างฐานะ สภาพ
เศรษฐกิจของประเทศนั้นก็จะดีอยู่ในระดับแถวหน้าของโลก ส่วนประเทศใดที่บุญโดยรวมของ
คนทั้งประเทศมีน้อยและประชาชนโดยส่วนใหญ่ก็ไม่ขวนขวายสร้างฐานะ สภาพเศรษฐกิจของ
ประเทศนั้นก็จะไม่ดี
อย่างไรก็ตามรัฐบาลหรือคณะผู้ปกครองแต่ละประเทศก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งใน
การบริหารจัดการเศรษฐกิจของประเทศ โดยหลักการบริหารนั้นจะต้องส่งเสริมประชาชนในสิ่ง
ที่สำคัญ 2 ประการ คือ
1) ส่งเสริมประชาชนให้มีความเข้าใจเรื่องบุญและสั่งสมบุญมากๆ
2) ส่งเสริมประชาชนให้ขวนขวายสร้างฐานะด้วยหลักหัวใจเศรษฐี อันหมายรวมถึงการ
ส่งเสริมประชาชนให้ประกอบอาชีพที่ไม่ผิดศีลธรรม เช่น มิจฉาวณิชชา และควบคุมกำจัด
แหล่งอบายมุขทั้งหลาย
หากประเทศใดผู้ปกครองปฏิบัติตามหลักการทั้ง 2 ประการนี้ จะทำให้เศรษฐกิจของ
ประเทศดี เติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งมั่นคง
วิธีการบริหารเศรษฐกิจในระดับมหภาคของกษัตริย์หรือคณะผู้ปกครองแคว้นต่างๆ
ในพระไตรปิฎกนั้น ปรากฏชัดเจนในกฏทันตสูตรว่าด้วยการบริหารเศรษฐกิจของพระเจ้ามหา
วิชิตราช ซึ่งกล่าวไว้แล้วในบทที่ 6 เรื่องรัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก สำหรับบทนี้จะกล่าวถึงอีกครั้ง
โดยเน้นเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ และจะกล่าวเสริมวิธีการบริหารเศรษฐกิจในสมัยพุทธกาลด้วย
การบริหารเศรษฐกิจของพระเจ้ามหาวิชิตราช
จากเนื้อหาในกูฏทันตสูตรซึ่งกล่าวไว้ว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงทำสงครามแผ่ขยาย
อาณาจักรออกไปกว้างขวาง ผลของสงครามทำให้เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ จนเกิดปัญหา
โจรปล้นบ้านปล้นเมือง โจรเหล่านี้เป็นโจรเพราะความยากจนบีบคั้น ไม่ได้เป็นโจรเพราะ
สันดานคือความโลภบีบคั้น พระโพธิสัตว์ในฐานะเป็นปุโรหิตมองเห็นปัญหานี้ได้ทะลุปรุโปร่งจึง
ถวายคำแนะนำพระราชาให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมประชาชนให้ขวนขวายทำมา
หากินโดยช่วยเหลือคนระดับล่าง 3 กลุ่มซึ่งขยันทำมาหากินดังนี้
บทที่ 8 เศรษฐศาสตร์ ในพระไตรปิฎก DOU 217