ความเกิดขึ้นของอาบัติและวิวาทในสงฆ์ GB 406 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฏก หน้า 196
หน้าที่ 196 / 373

สรุปเนื้อหา

เนื้อหาเกี่ยวกับอาบัติในพระพุทธศาสนารวบรวมไว้ในอาบัติเบา อาบัติหนัก และอาบัติที่มีส่วนเหลือ การวิวาทในสงฆ์นั้นเกิดจากกิเลสทั้ง 3 ตระกูลคือ โลภ โกรธ หลง และมีสาเหตุจากจิตที่ไม่โลภไม่โกรธไม่หลง อนุวาทาธิกรณ์แสดงถึงการฟ้องร้องภิกษุด้วยอาบัติที่ผิดศีลหรือมารยาทเสื่อมเสีย โดยมีมูลเหตุ 4 ประการที่ทำให้เกิดการโจทกัน

หัวข้อประเด็น

-อาบัติและความหมาย
-วิวาทในสงฆ์
-กิเลสสามตระกูล
-อนุวาทาธิกรณ์
-การโจทด้วยอาบัติ

ข้อความต้นฉบับในหน้า

(7) นี้เป็นอาบัติเบา นี้เป็นอาบัติหนัก (8) นี้เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ คือ ต้องเข้าแล้วยังไม่ขาดจากความเป็นภิกษุ นี้เป็น อาบัติหาส่วนเหลือมิได้ คือ ต้องเข้าแล้วขาดจากความเป็นภิกษุ (9) นี้เป็นอาบัติชั่วหยาบ นี้เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ เมื่อภิกษุทั้งหลายวิวาทกันด้วยเหตุ 9 ประการนี้แล้ว ทำให้เกิดความบาดหมาง ความ ทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความทุ่มเถียง และ การกล่าวเพื่อความกลัดกลุ้มใจ เป็นต้น มูลเหตุหรือสาเหตุในระดับรากเหง้าที่ทำให้เกิดวิวาทาธิกรณ์เหล่านี้ขึ้นนั้นพระสัมมา สัมพุทธเจ้าตรัสว่าคือ กิเลส ทั้ง 3 ตระกูล คือ โลภ โกรธ หลง อันแสดงออกมาในรูปของความ มักโกรธ ความลบหลู่ ตีเสมอ อิสสาคือความหึงหวงและความชิงชัง ความตระหนี่ ความอวดดี เจ้ามายา ความปรารถนาลามก มีความเห็นผิด และการเป็นผู้ถือความเห็นของตนอย่างแน่นแฟ้น ภิกษุรูปใดที่เป็นเช่นนี้ จะเป็นเหตุให้ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา ในพระธรรม ใน พระสงฆ์ และย่อมไม่มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม จะยังการวิวาทให้เกิดในสงฆ์ นอกจากกิเลสทั้ง 3 ตระกูล คือ โลภ โกรธ หลง ดังกล่าวแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังตรัสว่า การวิวาทกันในเรื่องธรรมวินัยนั้น บางครั้งเกิดขึ้นจากจิตที่เป็นกุศลคือ จิตที่ไม่โลภ ไม่โกรธ และไม่หลง กล่าวคือ การวิวาทในลักษณะนี้อาจจะเริ่มต้นด้วยการสนทนาธรรมกัน ตามปกติ แต่เมื่อเกิดความเห็นขัดแย้งกันจึงนำไปสู่การวิวาทกันได้ 7.10.2 อนุวาทาธิกรณ์ : การโจทกันด้วยอาบัติ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ย่อมโจทคือฟ้องร้องภิกษุ ด้วยศีลวิบัติหรืออาบัติคือการผิดศีล, อาจารวิบัติคือมารยาทเสื่อมเสีย, ทิฐิวิบัติคือความเห็นผิด อาชีววิบัติคือการเลี้ย การเลี้ยงชีพในทางที่ผิด เช่น การใบ้หวย การเป็นหมอดู การเป็นหมอรักษาโรค การประกอบอาชีพอย่างฆราวาสอื่นๆ เป็นต้น นี้เรียกว่าอนุวาทาธิกรณ์ มูลเหตุแห่งอนุวาทาธิกรณ์นั้นมีอย่างน้อย 4 ประการ ใน 2 ประการแรก คือ เหมือน กับมูลเหตุแห่งวิวาทาธิกรณ์คือ กิเลส ทั้ง 3 ตระกูลคือ โลภ โกรธ หลง อันแสดงออกมาในรูป ของความมักโกรธ ความลบหลู่ ตีเสมอ ฯลฯ เป็นเหตุให้จ้องเอาผิดกันแล้วจึงโจทด้วยอาบัติ เป็นต้น และ มูลเหตุเกิดขึ้นจากจิตที่เป็นกุศล กล่าวคือ โจทด้วยความหวังดี เพื่อให้ผู้ที่ถูกโจทปรับปรุง ตัวจะได้มีความเจริญรุ่งเรืองในพระธรรมวินัย บ ท ที่ 7 นิ ติ ศ า ส ต ร์ ในพระไตรปิฎก DOU 185
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More