ประวัติศาสตร์โลกและมนุษยชาติ GB 406 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฏก หน้า 95
หน้าที่ 95 / 373

สรุปเนื้อหา

บทความนี้กล่าวถึงประวัติศาสตร์โลกและมนุษยชาติซึ่งแบ่งออกเป็นสามยุค ได้แก่ ยุคแรก ยุคกลาง และยุคสุดท้าย โดยเน้นที่ยุคแรกซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าโลกมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และพินาศ ตามสัจธรรมของธรรมชาติ ก่อนหน้าที่จะมีการปรากฏขึ้นของสุริยา จันทร์ และดาวต่างๆ มนุษย์ยุคแรกมีอาการพิเศษที่ทำให้พวกเขามีรัศมีสว่างและสามารถบินได้ในอากาศ แต่กลับเกิดความอยากจากการบริโภคง้วนดินจนทำให้การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจเกิดขึ้นอย่างมาก และนำไปสู่การแตกต่างของผิวพรรณในมนุษย์ต่อมา

หัวข้อประเด็น

-ประวัติศาสตร์โลก
-ประวัติศาสตร์มนุษย์
-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
-จักรวาลในยุคแรก
-ความอยากและการเปลี่ยนแปลงในมนุษย์

ข้อความต้นฉบับในหน้า

5.2 ประวัติศาสตร์โลกและมนุษยชาติ เพื่อให้เห็นภาพรวมของประวัติศาสตร์โลกและมนุษยชาติได้ชัดเจนขึ้นจึงแบ่งยุคของโลก และมนุษย์ออกเป็น 3 ยุค คือ โลกและมนุษย์ในยุคแรก โลกและมนุษย์ในยุคกลาง และโลก และมนุษย์ในยุคสุดท้ายดังนี้ 1.) โลกและมนุษย์ในยุคแรก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า โลกที่เราอาศัยอยู่นี้จะไม่ตั้งอยู่ดังเดิมตลอดไป แต่จะมี การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และพินาศไป จะหมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ดังพระดำรัสว่า “สมัยบางครั้ง บางคราว โดยล่วงระยะเวลายืดยาว โลกนี้จะพินาศ เมื่อโลกพินาศแล้วมนุษย์โดยมากจะไปเกิด ในชั้นอาภัสสรพรหม เป็นผู้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากร่างกาย สัญจรไป ได้ในอากาศ จะอาศัยอยู่ในวิมานอันงามในภพนั้นเป็นเวลานานแสนนาน ต่อมาเมื่อโลกนี้กลับ เจริญขึ้นอีกครั้ง พรหมเหล่านั้นพากันจุติจากชั้นอาภัสสรพรหมลงมาอาศัยอยู่บนโลก จะอยู่ใน วิมานอันงาม มนุษย์ยุคแรกนั้นเป็นผู้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากร่างกาย สามารถสัญจรไปมาในอากาศได้ เป็นอยู่อย่างนี้เป็นเวลายาวนาน” จักรวาลและอาหารในยุคแรก ในยุคแรกนั้นจักรวาลทั้งสิ้นเป็นน้ำ มืดมนมองไม่เห็นอะไร ยังไม่มีดวงจันทร์และดวง อาทิตย์ ดวงดาวทั้งหลายก็ยังไม่ปรากฏ กลางวัน กลางคืนก็ยังไม่มีการกำหนดเวลาว่าเดือนหนึ่ง กึ่งเดือนก็ยังไม่มี ฤดูและปีก็ยังไม่มี เพศชายและเพศหญิงก็ยังไม่ปรากฏ มนุษย์ทั้งหลาย ถึงซึ่ง อันนับเพียงว่า “มนุษย์” เท่านั้น เมื่อกาลเวลาผ่านมายาวนาน เกิดง้วนดินลอยอยู่บนน้ำ ง้วน ดินนั้นมีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี มีกลิ่น มีรสอร่อยดุจรวงผึ้ง ต่อมามีมนุษย์ผู้หนึ่งเป็น คนหยาบพูดว่า นี่คืออะไร แล้วเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู ง้วนดินได้ซาบซ่านเข้าไปใน ร่างกาย เขาจึงเกิดตัณหา คือ ความอยากขึ้น และมนุษย์พวกอื่นก็พากันกระทำตามอย่างมนุษย์ นั้นด้วยการปั้นง้วนดินให้เป็นคำ ๆ ด้วยมือแล้วบริโภค ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รัศมีกายของมนุษย์เหล่านั้นหายไป แล้วดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ก็ปรากฏ ดวงดาวทั้งหลายก็ปรากฏ กลางคืนและกลางวันก็ปรากฏ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ ปรากฏ ฤดูและปีก็ปรากฏด้วย มนุษย์เหล่านั้นพากันบริโภคง้วนดินอยู่เป็นเวลายาวนาน เพราะการบริโภคง้วนดินนั้นทำให้มนุษย์มีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ผิวพรรณของมนุษย์ เหล่านั้นก็แตกต่างกัน มนุษย์พวกที่มีผิวพรรณงามนั้นก็มีการถือตัวพากันดูหมิ่นมนุษย์พวกที่มี ผิวพรรณไม่งามเพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป็นเหตุ ง้วนดินจึงหายไป 84 DOU สรรพศาสตร์ ในพระไตรปิฎก
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More