ดุลยภาพบำบัดในสมัยพุทธกาลกับยุคปัจจุบัน GB 406 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฏก หน้า 356
หน้าที่ 356 / 373

สรุปเนื้อหา

บทความนี้นำเสนอวิธีการบำบัดรักษาโรคในสมัยพุทธกาล ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพและการป้องกันโรค การเปลี่ยนแปลงอิริยาบถเป็นสิ่งที่พบเห็นว่ามีบทบาทในการรักษาโรคและการดูแลสุขภาพในปัจจุบัน โดยยกตัวอย่างวิธีการบำบัดตามหลักพระไตรปิฎกและยาสมุนไพรที่ยังคงมีการใช้ในปัจจุบัน บทความยังพูดถึงการใช้ 'น้ำมูตรเน่า' ในการรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคปวดหลังและไมเกรน แสดงถึงศาสตร์การแพทย์ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันในการใช้สรรพสิ่งจากธรรมชาติในการรักษาโรค

หัวข้อประเด็น

-ดุลยภาพและการบำบัด
-การศึกษาเกี่ยวกับยาสมุนไพร
-การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
-เปรียบเทียบการรักษาในอดีตกับปัจจุบัน
-ผลกระทบต่อสุขภาพและการป้องกันโรค

ข้อความต้นฉบับในหน้า

1) ดุลยภาพบำบัดในสมัยพุทธกาลกับยุคปัจจุบัน จากที่กล่าวถึงสาเหตุของโรคประการที่ 6 ว่า โรคเกิดแต่การผลัดเปลี่ยนอิริยาบถไม่ สม่ำเสมอ เช่น นั่งนานเกินไป เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระภิกษุในสมัยพุทธกาลจึง ป้องกันโรคด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถให้สม่ำเสมอ และกิจวัตรของพระภิกษุมีหลากหลาย จึง ทำให้การผลัดเปลี่ยนอิริยาบถเป็นไปอย่างสมดุล คือ มีทั้งนั่งสมาธิ บิณฑบาต เดินจงกรม กวาดวัด สำเร็จสีหไสยาสน์ บริหารร่างกายด้วยการ “ดัดกาย” ผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยการ “บีบนวด” การบิณฑบาต เดินจงกรม และกวาดวัดนั้นถือได้ว่าเป็นการออกกำลังกายแบบบรรพชิต หากกล่าวในภาษาปัจจุบันก็กล่าวได้ว่าการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถให้สม่ำเสมอและ กิจวัตรอันหลากหลายนั้นเป็นไปเพื่อสร้าง “ดุลยภาพแห่งอิริยาบถ” หรือ อาจเรียกว่า “ดุลยภาพบำบัด” นั่งเอง เพราะดุลยภาพบำบัด หมายถึง “วิธีการป้องกันบำบัดรักษาโรคและ บำรุงสุขภาพด้วยการปรับความสมดุลโครงสร้างของร่างกาย” ซึ่งมีวิธีการปฏิบัติ 4 วิธี คือ การระวังรักษาอิริยาบถต่าง ๆ ให้สมดุลตลอดเวลา การบริหารจัดโครงสร้างร่างกายให้สมดุล การออกกำลังกายเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการรักษาสมดุล และ การผ่อนคลายกล้ามเนื้อและ เส้นเอ็นด้วยการนวด 2) เปรียบเทียบยาในสมัยพุทธกาลกับยุคปัจจุบัน ยารักษาโรคที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น ปัจจุบันถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์หลาย วงการทั้งการแพทย์ทางเลือกและการแพทย์แผนปัจจุบัน โดยเฉพาะยาสมุนไพรนั้นจะเห็นว่า เป็นยาที่การแพทย์แผนไทยนำมาใช้เป็นยาหลักในการรักษาโรค รายชื่อสมุนไพรต่างๆ ที่ ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เมื่อนำมาเทียบกับยาสมุนไพรในตำราแพทย์แผนไทยแล้วพบว่า เหมือนกันมาก และที่สำคัญตามหลักการที่สรุปได้จากพระไตรปิฎกที่ว่า สรรพสิ่งในธรรมชาติ นำมาทำยาได้หมดถ้าเรารู้คุณสมบัติส่วนที่เป็นยาของสิ่งนั้นๆ จึงสรุปได้ว่า ยาสมุนไพรทุกชนิด รวมทั้งยาที่การแพทย์แผนปัจจุบันสกัดออกมาจากธรรมชาติ ทั้งหมดเป็นยาที่อยู่ในหลักการนี้ ทั้งสิ้น และจากที่กล่าวแล้วว่า “น้ำมูตรเน่า” เป็นยาหลักของพระภิกษุในสมัยพุทธกาลในเรื่องนี้ นายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล เจ้าของสถานพยาบาลธรรมชาติบำบัด กล่าวว่า น้ำปัสสาวะ รักษาโรคได้หลายโรค เช่น โรคปวดหลัง ปวดข้อ ไมเกรน ปวดเมื่อย ภูมิแพ้ ผื่นคัน สะเก็ดเงิน มะเร็ง ลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง ฯลฯ การดื่มน้ำปัสสาวะบำบัดโรคนั้นให้ดื่มน้ำปัสสาวะของ กองวิชาการ อาศรมบัณฑิต (2549). “สุขภาพนักสร้างบารมี” หน้า 146-147, 223-224. บ ท ที่ 1 1 แ พ ท ย ศ า ส ต ร์ ในพระไตรปิฎก DOU 345
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More