วิวัฒนาการและความเชื่อในพระไตรปิฎก GB 406 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฏก หน้า 302
หน้าที่ 302 / 373

สรุปเนื้อหา

บทความนี้กล่าวถึงการศึกษาในด้านวิวัฒนาการของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่มีจีโนมใกล้เคียงกับมนุษย์ และแสดงให้เห็นถึงความเชื่อในพระไตรปิฎกที่ระบุว่ามนุษย์และสัตว์มีความเชื่อมโยงกันทางกรรมและการเกิดใหม่ นอกจากนี้ยังอธิบายถึงการผ่าเหล่าและวิวัฒนาการในแง่มุมทางศาสนาและวิทยาศาสตร์

หัวข้อประเด็น

-วิวัฒนาการของสัตว์
-จีโนมและมนุษย์
-ความเชื่อในพระไตรปิฎก
-การผ่าเหล่าและกรรม
-ความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และสัตว์

ข้อความต้นฉบับในหน้า

เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิดต่าง ๆ แล้วพบว่า ไม่ใช่เฉพาะลิงเท่านั้นที่มีจีโนมใกล้เคียงกับมนุษย์ แต่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมจำนวนมากหรือเกือบทั้งหมดทีเดียวที่มีจีโนมใกล้เคียงกับมนุษย์แม้แต่หนู แมว สุนัข เป็นต้น สัตว์เหล่านี้มี 4 ขา แต่มนุษย์มีเพียง 2 ขา และรูปร่างหน้าตาโดยรวมก็ต่าง กันมาก แต่ทำไมจีโนมกลับคล้ายคลึงกัน จนสามารถศึกษาปัจจัยการเกิดโรคในสัตว์เหล่านี้แล้ว นำมาใช้กับการรักษาโรคในมนุษย์ได้ คำถามนี้นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังตอบไม่ได้ แต่คำตอบมี กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกกว่า 2,500 ปีแล้วว่า จริงๆ แล้วสัตว์เหล่านี้แต่เดิมเป็นมนุษย์แต่เพราะ ไม่รักษามนุษยธรรมคือศีล 5 จึงทำให้ร่างกายเสื่อมถอยลงจนต้องไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานใน ภพชาติต่อไป สำหรับประเด็น “การผ่าเหล่า” หรือ การแปรผัน (Mutation) ของบรรดาลูกหลาน ของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งทำให้รูปร่างและพฤติกรรมแตกต่างไปจากบรรพบุรุษนั้น ทฤษฎี วิวัฒนาการไม่อาจจะให้คำตอบได้ว่า ทำไมการผ่าเหล่าจึงเกิดขึ้น แต่ในทางพระพุทธศาสนานั้นมี คำตอบในเรื่องนี้ว่า เกิดจากวิบากกรรมหรือเป็นไปตามกฎกรรมนิยาม พ่อแม่ที่มีรูปร่าง สมบูรณ์อาจจะมีลูกที่พิการได้หากลูกเคยทำบาปกรรมไว้หรือนักศึกษาอาจจะเคยได้ยินข่าวที่ว่า บางกรณีพ่อและแม่เป็นหมอทั้งคู่แต่ลูกที่คลอดออกมากลับปัญญาอ่อน อันนี้ก็เป็นผลจาก แต่ลูกที่คลอดออกมา บาปกรรมที่ลูกเคยทำไว้เช่นกัน ในทางตรงข้ามพ่อแม่ที่มีร่างกายพิการ ไม่จำเป็นต้อง พิการเหมือนกับพ่อแม่หากไม่ได้ทำบาปกรรมเอาไว้ จริง ๆ แล้วคำสอนในพระไตรปิฎกไม่ขัดแย้งกับทฤษฎีวิวัฒนาการที่ว่าสิ่งมีชีวิตมีวิ วัฒนาการ มีการผ่าเหล่า แต่แตกต่างในการมองกรอบใหญ่ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพบ ว่า สัตว์คืออดีตมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์ แต่ในประเด็นที่ว่า สัตว์โลกมีการ เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมนั้นบางอย่างสอดคล้องกัน ชาร์ลส์ ดาร์วิน ค้นพบว่า สัตว์ต่าง ๆ ที่ ดำรงอยู่ในยุคก่อนๆ ต่อมาเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป สัตว์เหล่านั้นก็ต้องปรับตัวตามเพื่อ ความอยู่รอด สัตว์ชนิดไหนที่ปรับตัวไม่ได้ก็ต้องสูญพันธ์ไป เช่น ไดโนเสาร์ เป็นต้น ในปัจจุบัน มีแต่ตะกวดและกิ้งก่า ซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายไดโนเสาร์แต่ตัวเล็กกว่ามาก ในพระไตรปิฎกมีการบันทึกไว้ว่า ในยุคก่อน ๆ นั้นมนุษย์ตัวสูงใหญ่ ยุคต่อมาความสูง ของมนุษย์ก็ค่อยๆ ลดลงเรื่อย ๆ ดังที่ปรากฏในพุทธวงศ์เรื่องความสูงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระวิปัสสีพุทธเจ้ามีพระสรีระสูง 80 ศอก, พระสิขีพุทธเจ้ามีพระสรีระสูง 70 ศอก พระเวสสภูพุทธเจ้ามีพระสรีระสูง 60 ศอก, พระกกุสันธพุทธเจ้ามีพระสรีระสูง 40 ศอก พระโกนาคมนพุทธเจ้ามีพระสรีระสูง 30 ศอก, พระกัสสปพุทธเจ้ามีพระสรีระสูง 20 ศอก และ พระสมณโคดมพุทธเจ้ามีพระสรีระสูง 16 ศอก เป็นต้น บทที่ 1 0 วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ในพระไตรปิฎก DOU 291
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More