ข้อความต้นฉบับในหน้า
5) เป็นเสียงกลมกล่อม
6) เป็นเสียงไม่แปร่ง
7) เป็นเสียงลึก
8) เป็นเสียงก้อง
คือ เข้ากันพอดี
คือ ไม่พร่า
คือ ลึกซึ้ง
คือ กังวานและแจ่มใส
องค์ 8 แห่งพระสุรเสียงของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ เป็นผลที่เกิดจากการที่พระองค์
กล่าว คำสุภาษิตมานับภพนับชาติไม่ถ้วน มีการเปรียบเทียบว่าพระสุรเสียงของพระองค์นั้น
เป็นเช่นกับเสียงมหาพรหมบ้าง เพราะเป็นเสียงที่แจ่มใสเนื่องจากไม่ถูกดีและเสมหะพัวพัน
เสียงไม่ขาด และไม่แตก บ้างก็เปรียบว่าพระสุรเสียงของพระพุทธองค์ไพเราะดุจเสียงร้องของ
นกการเวก พระอรรถกถาจารย์บันทึกไว้ว่า เมื่อนกการเวกกระพือปีกร้อง บรรดาสัตว์ 4 เท้า
แม้กำลังหาอาหารก็ทิ้งหญ้าที่เข้าไปในปากเพื่อฟังเสียงนั้น บรรดาเนื้อร้ายที่กำลังติดตามพวก
เนื้อน้อยๆ ก็ไม่วางเท้าที่ยกขึ้นยืนนิ่งอยู่เหมือนตุ๊กตา และบรรดาเนื้อที่ถูกติดตามก็ละความ
กลัวตายยืนนิ่ง แม้บรรดานกกำลังบินไปบนอากาศก็เหยียดปีก ร่อนชะลออยู่เพื่อฟังเสียง แม้
บรรดาปลาในน้ำก็หยุดฟังเสียงนั้น
9.2.3 ความหมายและองค์ประกอบของวาจาสุภาษิต
มีคำกล่าวว่า “ปลามีชีวิตยืนยาวอยู่ได้ก็เพราะอาศัยปากเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็เพราะ
ปากนั่นเอง ปลาจึงต้องติดเบ็ดเสียชีวิตโดยง่ายเช่นกัน คนเราจะประสบความสำเร็จ ได้รับ
ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ก็เพราะอาศัยวาจาสุภาษิตจากปาก แต่ก็เพราะวาจาทุพภาษิตจาก
ปากเพียงคำเดียว บางครั้งแม้แต่ชีวิตก็ยากจะรักษาไว้ได้” วาจาสุภาษิตนั้นถือเป็นหลักการพูด
ขั้นพื้นฐานซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในวาจาสูตร
1) วาจาสุภาษิต คือ อะไร
วาจาสุภาษิต หมายถึง คำพูดที่ผู้พูดได้กลั่นกรองไว้ดีแล้ว มิใช่สักแต่พูดอวัยวะในร่างกาย
ของคนเรา ก็แปลก
ตา
มีหน้าที่ดูอย่างเดียว
หู
มีหน้าที่ฟังอย่างเดียว
จมูก มีหน้าที่ดมกลิ่นอย่างเดียว
ธรรมชาติให้มา 2 ตา
ธรรมชาติให้มา 2 หู
ธรรมชาติให้มา 2 รู
' สารีปุตตสุตตนิทเทสที่ ๑๖, อรรถกถาขุททกนิกาย มหานิทเทส, มก. เล่ม 66 ข้อ 885 หน้า 633.
บทที่ 9 ว า ท ศ า ส ต ร์ ในพระไตรปิฎก DOU 239