ทฤษฎีสัมพัทธภาพและผลกระทบต่อมวลและเวลา GB 406 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฏก หน้า 59
หน้าที่ 59 / 373

สรุปเนื้อหา

บทความนี้อธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษซึ่งอธิบายการเปลี่ยนแปลงของมวลเมื่อวัตถุเคลื่อนที่เร็วขึ้นและผลกระทบต่อเวลา เมื่อวัตถุเคลื่อนที่ใกล้ความเร็วแสงจะมีมวลเพิ่มขึ้นและเวลาจะเดินช้าลง ตลาดวัตถุนำเสนอความจริงที่ได้รับการพิสูจน์โดยการทดลองที่ CERN ว่ามวลและพลังงานเปลี่ยนแปลงได้ตามสมการ E=mc ผลการทดลองที่สำคัญจากปี 1930 โดย Paul Dirac และ Carl Anderson แสดงให้เห็นว่าพลังงานสามารถแปรเป็นสสารได้ ทดลองนี้ทำให้ได้รับรางวัลโนเบล การทดลองเหล่านี้เปลี่ยนการรับรู้ของเราเกี่ยวกับเวลาและมิติในเอกภพ.

หัวข้อประเด็น

-ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ
-การเปลี่ยนแปลงของมวล
-ผลกระทบต่อเวลา
-การทดลองที่ CERN
-ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์

ข้อความต้นฉบับในหน้า

เช่นกัน โดยมวลของสสารจะเพิ่มขึ้นเมื่อวัตถุเคลื่อนที่เร็วขึ้น และยิ่งเคลื่อนที่ใกล้ความเร็วแสง มากเท่าไรมวลยิ่งมากขึ้นไปอีก มวลเหล่านี้มาจากพลังงานที่เราป้อน เพื่อผลักดันวัตถุดังกล่าว ให้เคลื่อนที่นั่นเอง สิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์มาแล้วหลายครั้งว่าเป็นจริง เช่น ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ แห่งยุโรป(CERN) ได้ทดลองเร่งความเร็วอนุภาคภายในอะตอมได้จนถึง 99.99% ของ ความเร็วแสง แต่หลังจากนั้นไม่ว่าจะเพิ่มพลังงานไปมากเท่าใด ก็ไม่อาจทำได้ เพราะ “พลังงาน” จะเปลี่ยนไปเป็น “มวลของสสาร” ตามสมการ E=mc ผลการทดลองนี้จึงยืนยัน ทฤษฎีของไอน์สไตน์ที่บอกว่า “แสงเดินทางเร็วที่สุดในโลก” นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) นักวิทยาศาสตร์สองคนชื่อ ดิแรก (Paul Dirac) และแอนเดอร์สัน (Carl Anderson) ได้ ทำการทดลองในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน จากการทดลองคราวนั้น วงการวิทยาศาสตร์ก็ต้องตื่นเต้น เมื่อพบว่า พลังงานสามารถแปรกลับมาเป็นสสารได้ มนุษย์สามารถสร้างสสารขึ้นมาจาก ความว่างเปล่าได้ ผลการทดลองครั้งนี้ส่งผลให้ทั้งสองได้รับรางวัลโนเบลในเวลาต่อมา ความยาวหดลงเมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษระบุว่า ความยาวของวัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น จะหดสั้นลงกว่าวัตถุขนาดเดียวกันที่หยุดนิ่ง หรือเคลื่อนที่ช้ากว่า เช่น ความยาวของไม้บรรทัด ที่วางตามแนวนอนบนรถไฟที่จอดนิ่ง จะยาวเท่ากับไม้บรรทัดที่เราถือตามแนวนอนและยืนนิ่ง อยู่กับที่บนชานชาลาสถานีแต่หากรถไฟคันดังกล่าวเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสม่ำเสมอขณะที่เรายัง ยืนนิ่งอยู่ที่ชานชาลาดังกล่าว เราจะเห็นไม้บรรทัดบนรถไฟหดสั้นกว่าของเรา ยิ่งรถไฟมี ความเร็วใกล้ความเร็วแสงมากเท่าไร ไม้บรรทัดบนรถไฟก็จะยิ่งหดสั้นลงกว่าไม้บรรทัดที่เรา ถืออยู่ที่ชานชาลาไปตามส่วน และตัวขบวนรถไฟก็จะสั้นลงด้วย ถ้าสามารถเคลื่อนที่ด้วย ความเร็วเท่ากับแสง ความยาวของไม้บรรทัดและรถไฟก็จะไม่เหลือเลยคือกลายเป็นศูนย์ เวลาในเอกภพไม่เป็นหนึ่งเดียว แต่เดิมนักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่าเวลาเป็นหนึ่งเดียวและเท่ากันเสมอไม่ว่าจะเป็นสถานที่ ใดในเอกภพ แต่ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษบอกว่า เวลาในเอกภพแตกต่างกันได้ โดยความเร็วที่ ต่างกันทำให้เวลาต่างกัน ยิ่งวัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากเท่าไร เวลาก็จะเดินช้าลงเท่านั้น เมื่อเทียบกับวัตถุที่เคลื่อนที่ช้ากว่า ในชีวิตประจำวันเราจะสังเกตความแตกต่างของเวลาไม่ สมภาร พรมทา (2534). “พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์” หน้า 168. * ไพรัช ธัชยพงษ์ (2549). “หนังสือไอน์สไตน์ หลุมดำ และบิ๊กแบง” หน้า 116. 48 DOU สรรพ ศ า ส ต ร์ ในพระไตรปิฎก
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More