ข้อความต้นฉบับในหน้า
วันหนึ่งพระปิลินทวัจฉะปวดศีรษะ พระผู้มีพระภาคจึงให้รักษาด้วยการเอาน้ำมันทา
ศีรษะ แต่โรคปวดศีรษะยังไม่หาย พระพุทธองค์จึงให้รักษาด้วยการนัตถุ์ โรคปวดศีรษะก็ยังไม่
หาย พระผู้มีพระภาคจึงให้รักษาด้วยการ “สูดควันที่เป็นยา” เพื่อให้ควันเข้าไประงับความปวด
1.4) วิธีการรักษาโรคเบ็ดเตล็ด
ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธถูกยาแฝด พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงให้รักษาด้วยการดื่มน้ำที่ละลาย
จากดินที่ติดผาลไถ อาพาธถูกยาแฝด แปลมาจากบาลีว่า “ฆรทินนาพาโธ” หมายถึงโรคที่เกิดขึ้น
เพราะน้ำหรือยาที่หญิงให้ เมื่อดื่มกินเข้าไปแล้วจะตกอยู่ในอำนาจของหญิงนั้น ภาษาใน
ปัจจุบันเรียกว่า “ยาเสน่ห์”
คำว่า “ผาล” หมายถึง เหล็กสำหรับใช้เป็นอุปกรณ์ไถดิน เช่น ไถดินในที่นาเพื่อปลูก
ข้าวเป็นต้น ดินที่ติดผาลไถ จึงเป็นดินที่ติดอยู่กับผาลในขณะทำการไถ แต่ทั้งนี้ก็ไม่มีคำอธิบายว่า
ดินที่ติดผาลไถนั้นช่วยแก้ยาเสน่ห์ได้อย่างไร
ภิกษุอีกรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคท้องผูกพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงให้รักษาด้วยการดื่มน้ำด่าง
น้ำด่าง คือน้ำที่ได้จากการแช่วัตถุที่ใช้ทำยา เช่น เกลือ ขี้เถ้า ขี้วัว เป็นต้น ปกติน้ำด่างที่ได้จาก
เกลือ ขี้เถ้า และขี้วัวเหล่านี้คนในสมัยพุทธกาลจะใช้สำหรับซักผ้าเพราะจะช่วยกัดสิ่งสกปรกให้
หลุดออกได้ สำหรับการใช้รักษาโรคท้องผูกนั้นเข้าใจว่า มีจุดประสงค์เพื่อให้น้ำด่างช่วยกัด
ก้อนอุจจาระที่จับตัวกันแข็งให้อ่อนลงจะได้ขับถ่ายได้สะดวกขึ้น
ภิกษุอีกรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคผอมเหลือง พระผู้มีพระภาคจึงให้รักษาด้วยการ “ดื่ม
ยาผลสมอดองน้ำมูตรโค” และโรคผอมเหลืองนี้ยังสามารถรักษาด้วย “เนยใส” ได้เช่นกัน เช่น
ครั้งหนึ่งพระเจ้าจัณฑปัชโชติทรงพระประชวรด้วยโรคผอมเหลือง หมอชีวกโกมารภัจจ์จึงนำ
เนยใสมาปรุงเป็นยารักษาพระองค์จนหาย
ภิกษุอีกรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคผิวหนัง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงให้รักษาด้วยการ “ลูบไล้
ด้วยของหอม” น่าจะคล้ายๆ กับการทาแป้งป้องกันความชื้นอันเป็นเหตุแห่งโรคผิวหนังในปัจจุบัน
ภิกษุอีกรูปหนึ่งอาพาธมีผดผื่นขึ้นตามตัว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงให้รักษาด้วยการ
“ดื่มยาถ่าย” เหตุที่มีผดผื่นนั้นน่าจะเป็นเพราะท้องผูก ไม่ขับถ่าย ร่างกายจึงพยายามขับของ
เสียออกทางผิวหนังจึงทำให้เกิดผดผื่นขึ้น
ท่านพระปิลินทวัจฉะเท้าแตก พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงให้รักษาด้วยการใช้ “ยาทาเท้า”
แต่โรคยังไม่หาย พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงให้ปรุงน้ำมันทาเท้า
บ บทที่ 1 1 แ พ ท ย ศ า ส ต ร์ ในพระไตรปิฎก DOU 335