ข้อความต้นฉบับในหน้า
เกี่ยวข้องกับประชาชนทุกคน คนที่รู้กฎหมายจึงมีน้อยมาก แม้แต่คนมีการศึกษาแล้วส่วนใหญ่
ก็ไม่ค่อยรู้กฎหมายเท่าที่ควร โดยมากจะใช้สามัญสำนึกว่า สิ่งนี้น่าจะผิดกฎหมาย สิ่งนี้น่าจะ
ไม่ผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้ศึกษากันอย่างจริงจังและต่อเนื่องอย่างพระภิกษุ
รัฐบาลถือว่ากฎหมายทุกข้อเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคนที่ต้องรู้ ต้องศึกษา หาก
ทำผิดจะบอกว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้
คนทำผิดเพราะไม่รู้กฎหมายก็มีโทษเท่ากับคนทำผิดที่รู้
กฎหมาย ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลไม่ค่อยได้ช่วยเหลือในการให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่ประชาชนสัก
เท่าไร มักจะปล่อยให้เป็นความรับผิดชอบส่วนตัวของประชาชนไป ซึ่งไม่ต่างอะไรกับพ่อแม่
บางคนที่ปล่อยให้ลูกรับผิดชอบตนเองเพราะคิดว่า เป็นหน้าที่ของเจ้าที่เกิดมาแล้วต้องศึกษา
เรียนรู้โลก จะมาโทษพ่อแม่ไม่ได้ว่าไม่ได้ส่งเสริมการศึกษาแก่ลูก องค์ความรู้เรื่องกฎหมาย
ทางโลกจึงจำกัดอยู่แค่นักกฎหมายหรือผู้ที่ศึกษามาด้านนี้โดยตรงเท่านั้นซึ่งต่างกันอย่างมากกับ
องค์กรสงฆ์ที่มีระบบเอื้อให้นักบวชทุกรูปเข้าถึงองค์ความรู้เรื่องสิกขาบททุกข้ออย่างเท่าเทียมกัน
7.10 อธิกรณ์ในพระไตรปิฎก
คำว่า อธิกรณ์ หมายถึง เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว จะต้องจัดทำ คือ เรื่องที่สงฆ์จะต้องดำเนิน
การซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็น “คดี” คือ เป็นปัญหาข้อขัดแย้ง และส่วนที่เป็นกิจธุระต่าง ๆ อธิกรณ์นั้น
มี 4 ประการ คือ วิวาทาธิกรณ์ : วิวาทกันเรื่องพระธรรมวินัย, อนุวาทาธิกรณ์ : การโจทกัน
ด้วยอาบัติ, อาปัตตาธิกรณ์ : อาบัติและการแก้ไขอาบัติ และกิจจาธิกรณ์ : กิจที่สงฆ์พึงทำ
7.10.1 วิวาทาธิกรณ์ : วิวาทกันเรื่องพระธรรมวินัย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงวิวาทาธิกรณ์ว่า เป็นเรื่องที่ภิกษุทั้งหลายวิวาทกันด้วย
เรื่องธรรมวินัย 9 ประการนี้คือ
(1) นี้เป็นธรรม นี้ไม่เป็นธรรม
(2) นี้เป็นวินัย นี้ไม่เป็นวินัย
(3) นี้พระตถาคตเจ้าตรัสไว้ นี้พระตถาคตเจ้าไม่ได้ตรัสไว้
(4) นี้พระตถาคตเจ้าทรงประพฤติมา นี้พระตถาคตเจ้าไม่ได้ทรงประพฤติมา
(5) นี้พระตถาคตเจ้าทรงบัญญัติไว้ นี้พระตถาคตเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติไว้
(6) นี้เป็นอาบัติ นี้ไม่เป็นอาบัติ
184 DOU สรรพ ศ า ส ต ร์ ในพระไตรปิฎก