ข้อความต้นฉบับในหน้า
กรรมนี้สามารถแสดงออกมาได้ 3 ทาง ได้แก่ การกระทำทางกาย ทางวาจา และทาง
ใจ โดยกรรมนี้แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายกุศลกรรม และฝ่ายอกุศลกรรม ตามอำนาจของ
ต้นเหตุที่เกิดขึ้น และผลที่ปรากฏ
1.) ฝ่ายกุศลกรรม หมายถึง กรรมฝ่ายดี เป็นการกระทำที่บุคคลทำด้วยอโลภะ
อโทสะ อโมหะ เป็นการกระทำที่ไม่มีโทษ ไม่เดือดร้อนในภายหลัง มีจิตแช่มชื่นเบิกบาน มีสุข
เป็นผล ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า
“กรรมที่บุคคลทำเพราะอโลภะ อโทสะ อโมหะ เกิดแต่อโลภะ อโทสะ อโมหะ มีอโลภะ
อโทสะ อโมหะเป็นต้นเหตุ มือโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นแดนเกิดอันใด กรรมนั้นเป็นกุศล
กรรมนั้นหาโทษมิได้ กรรมนั้นมีสุขเป็นผล
บุคคลทำกรรมใดแล้ว ไม่เดือดร้อนในภายหลัง มีหัวใจแช่มชื่น เบิกบานเสวยผลแห่ง
กรรมใด กรรมนั้นทำแล้วเป็นการดี”
กุศลกรรมเป็นการกระทำที่ดีงาม ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ไม่ทำให้จิตเศร้าหมอง ไม่มีทุกข์
โทษภัยเดือดร้อนในภายหลัง แต่ก่อให้เกิดบุญบารมีและกุศลธรรม พฤติกรรมที่จัดเป็นกุศลกรรม
คือ กุศลกรรมบถ 10 สามารถแบ่งออก 3 ทาง ตามการกระทำที่เกิดขึ้นทางกาย วาจาและใจ
ดังนี้ คือ
กายสุจริต หมายถึง การกระทำดีทางกาย มี 3 ประการ คือ
(1) ปาณาติปาตา เวรมณี งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ที่ยังมีชีวิต
(2) อทินนาทานา เวรมณี งดเว้นจากการลักขโมยของที่ผู้อื่นไม่ให้
(3) กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
วจีสุจริต หมายถึง การกระทำดีทางวาจา มี 4 ประการ คือ
(1) มุสาวาทา เวรมณี งดเว้นจากการพูดเท็จ
(2) ปิสุณาย วาจาย เวรมณี งดเว้นจากการพูดส่อเสียด
(3) ผรุสาย วาจาย เวรมณี งดเว้นจากการพูดคำหยาบ
(4) สัมผัปปลาปา เวรมณี งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
มโนสุจริต หมายถึง การกระทำดีทางใจ มี 3 ประการ คือ
(1) อนภิชฌา ไม่คิดเพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของผู้อื่น
บทที่ 5 ม นุ ษ ย ศ า ส ต ร์ ในพระไตรปิฎก DOU 101