อธิบายอาปัตตาธิกรณ์และความหมายของอาบัติในพระไตรปิฎก GB 406 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฏก หน้า 197
หน้าที่ 197 / 373

สรุปเนื้อหา

เนื้อหานี้อธิบายความหมายของอาปัตตาธิกรณ์และอาบัติในพระพุทธศาสนา รวมถึงประเภทของอาบัติ 7 ประการ รวมทั้งการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดจากร่างกายและวาจาของพระภิกษุ ซึ่งอาจส่งผลต่อการถูกโจทฯ ในกรณีต่างๆ ซึ่งมีทั้งอาบัติที่หนักและเบา เช่น อาบัติปาราชิก, อาบัติถุลลัจจัย และ otros formas de aabati นอกจากนี้ยังอธิบายลักษณะและความสำคัญของการปฏิบัติตามสิกขาบท ที่กำหนดโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อความเป็นระเบียบในชีวิตของพระภิกษุ นอกจากนั้นยังมีตัวอย่างในการวินิจฉัยน้ำหนักของอาบัติที่เกิดจากพฤติกรรมต่างๆ ของพระภิกษุอีกด้วย โดยเฉพาะการพูดหรือการกระทำที่อาจมีผลกระทบต่อการฟังและกระทำตามคำสอนของศาสนา ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ dmc.tv

หัวข้อประเด็น

-อธิบายอาปัตตาธิกรณ์
-ประเภทของอาบัติ
-ร่างกายและวาจาของพระภิกษุ
-การปฏิบัติของพระภิกษุ
-ตัวอย่างการวินิจฉัยอาบัติ

ข้อความต้นฉบับในหน้า

ส่วนมูลเหตุแห่งอนุวาทาธิกรณ์อีก 2 ประการ คือ ร่างกาย และวาจา พระสัมมาสัม พุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุบางรูปเป็นผู้มีผิวพรรณน่ารังเกียจ ไม่น่าดู มีรูปร่างเล็ก มีอาพาธมาก เป็น คนบอด ง่อย กระจอก หรือ อัมพาต อันจะเป็นเหตุให้มีความประพฤติบางอย่างไม่เหมาะสมเพราะ ความบกพร่องของร่างกายดังกล่าว เพื่อนสหธรรมิกที่ไม่เข้าใจอาจจะโจทท่านได้ ส่วนเรื่องวาจา นั้น คือ ภิกษุบางรูปเป็นคนพูดไม่ดี พูดไม่ชัด พูดระราน ภิกษุทั้งหลายย่อมโจทภิกษุนั้นด้วย วาจาคือคำพูดไม่ดีของท่านได้ 7.10.3 อาปัตตาธิกรณ์ : อาบัติและการแก้ไขอาบัติ อาปัตตาธิกรณ์ คำว่า “อาบัติ” หมายถึง การล่วงละเมิดสิกขาบทหรือศีลที่พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ โดยมีชื่อ 7 กอง คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ และ ทุพภาษิต อาบัติปาราชิก อาบัติสังฆาทิเสส อาบัติปาจิตตีย์ และอาบัติปาฏิเทสนียะนั้นเป็นอาบัติที่ มีชื่อตรงกับชื่อสิกขาบท โดยสิกขาบทนิสสัคคิยปาจิตตีย์กับสิกขาบทปาจิตตีย์นั้น มีชื่ออาบัติว่า “ปาจิตตีย์” เหมือนกัน สำหรับ “ถุลลัจจัย” แปลว่า ความล่วงละเมิดที่หยาบ เป็นอาบัติที่หนักรองลงมาจาก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัยนั้นเป็นอาบัติที่มีวัตถุเดียวกันกับอาบัติปาราชิก และ อาบัติสังฆาทิเสสดัง ตัวอย่างต่อไปนี้ ภิกษุจงใจจะอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน แล้วได้กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นพระอรหันต์ หากคนที่ฟังอยู่เข้าใจจะต้อง “อาบัติปาราชิก” แต่ถ้าคนฟังไม่เข้าใจจะต้อง “อาบัติถุลลัจจัย” ภิกษุเห็นสตรีคนหนึ่งและรู้ว่าเป็นสตรี มีความกำหนัดแล้วจับต้อง “ของเนื่องด้วยกาย” ได้แก่ เสื้อผ้าของสตรีคนนั้น กรณีนี้ภิกษุจะต้อง “อาบัติถุลลัจจัย” แต่ถ้าจับต้อง “ร่างกาย” ส่วนใด ส่วนหนึ่งของสตรีนั้นโดยตรงจะต้อง “อาบัติสังฆาทิเสส คำว่า “ทุกกฎ” แปลว่า “ทำไม่ดี” เป็นอาบัติที่มีโทษเบารองจากอาบัติปาฏิเทสนียะ โดย สิกขาบทในหมวดเสขิยวัตรทั้งหมดรวมทั้งพระบัญญัติเกี่ยวกับมารยาทอื่นๆ นอกปาฏิโมกข์- สังวรศีล หากภิกษุล่วงละเมิดจะต้องอาบัติทุกกฏ คำว่า “ทุพภาษิต” แปลว่า “พูดไม่ดี” เป็นอาบัติที่มีโทษเบาที่สุดคือมีโทษเบากว่าทุก กฎ แต่มีความก้ำกึ่งกับทุกกฎพอสมควร เช่น ภิกษุตั้งใจ “จะด่า” เพื่อนภิกษุด้วยกันด้วยการ กล่าวกระทบเรื่องผิวพรรณว่า ท่านเป็นคนสูงนัก ท่านเป็นคนต่ำนัก ท่านเป็นคนดำนัก เป็นต้น 186 DOU สรรพ ศ า ส ต ร์ ในพระไตรปิฎก
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More