ข้อความต้นฉบับในหน้า
บทที่ 6
รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก
6.1 ภาพรวมรัฐศาสตร์ในพระไตรปิฏก
เป้าหมายของรัฐศาสตร์ หรือการเมืองการปกครองในพระพุทธศาสนา อยู่ที่การสร้าง
สภาพเอื้อให้มนุษย์ในสังคมประพฤติปฏิบัติตน เพื่อบรรลุเป้าหมายของชีวิตทั้ง 3 ระดับได้
โดยง่าย ทั้งเป้าหมายในชาตินี้ ชาติหน้า และในชาติสุดท้าย คือบรรลุมรรคผลนิพพาน
ธรรมาธิปไตยหรือการยึดธรรมเป็นใหญ่ เป็นหัวใจสำคัญของหลักรัฐศาสตร์ใน
พระไตรปิฎก ธรรมาธิปไตยนั้นไม่ถือว่าเป็น “ระบอบการปกครอง” ระบอบหนึ่ง เหมือนอย่าง
ระบอบประชาธิปไตย หรือ ระบอบคอมมิวนิสต์ แต่ทุกระบอบการปกครองที่มีอยู่ สามารถนำ
ธรรมาธิปไตยไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งนั้น โดยยกเอา “หลักธรรม” เป็นเกณฑ์ในการตัดสินสูงสุด
คล้ายกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ การตัดสินใจใด ๆ หรือการกระทำใดๆ ก็ตามจะต้อง
ไม่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญฉันใด การตัดสินใจนั้น ๆ หรือการกระทำนั้นๆ ก็ต้องไม่ขัดต่อ
“หลักธรรม” ฉันนั้น
หลักธรรมนั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ หลักในการปกครองตนของผู้ปกครอง และ
หลักในการปกครองประชาชน โดยหลักในการปกครองตนของผู้ปกครอง ได้แก่ ทศพิธราชธรรม,
กุศลกรรมบถ 10, จักรวรรดิวัตร และอปริหานิยธรรม ส่วนหลักในการปกครองประชาชน ได้แก่
สังคหวัตถุ 4, อคติ 4, กุศลกรรมบถ 10 และ ศีล 5 หลักธรรมในการปกครองนั้น ส่วนใหญ่
แล้วจะประกอบด้วยศีลและหลักอื่นๆ เช่น การให้ทาน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้เกิดความ
ชัดเจนจึงมักจะเรียกกันว่า “หลักศีลธรรม”
หลักศีลธรรมจึงเป็นหัวใจหรือเป็นแก่นของการปกครองประเทศ แต่ทั้งนี้ การจะให้
ศีลธรรมคงอยู่ได้อย่างมั่นคง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนา “เศรษฐกิจ” ควบคู่ไปด้วย เพราะ
หากเศรษฐกิจไม่ดี ประชาชนจะอดอยากยากจน ความยากจนจะกดดันให้คนทำอกุศลธรรม
ด้วยการลักขโมยเพื่อยังชีพ เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ศีลธรรมจึงตั้งอยู่ไม่ได้
การปกครองประเทศจึงต้องพัฒนาศีลธรรมและเศรษฐกิจควบคู่กันไป จะขาดตัวใด
ตัวหนึ่งไม่ได้ เศรษฐกิจเป็นเสมือนราก ใบ เปลือกและกระพี้ที่คอยห่อหุ้มและดูดซับอาหารมา
122 DOU สรรพ ศ า ส ต ร์ ในพระไตรปิฎก