เปรียบเทียบรัฐศาสตร์ทางโลกกับทางธรรม GB 406 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฏก หน้า 165
หน้าที่ 165 / 373

สรุปเนื้อหา

บทความนี้วิเคราะห์การปกครองระบอบประชาธิปไตยและการปกครองโดยคณะบุคคลในแคว้นวัชชี โดยเน้นถึงความคล้ายคลึงและความแตกต่างในโครงสร้างอำนาจ ระบอบประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตัดสินใจ ในขณะที่แคว้นวัชชีมีข้อจำกัดอำนาจไว้ที่คณะเจ้าเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการเทียบเคียงการจัดสรรอำนาจในแต่ละระบอบ โดยอ้างอิงถึงหลัก “ธรรม” และกฎหมายที่ใช้ในการปกครองทั้งสองแบบ ซึ่งช่วยให้เข้าใจบริบททางการเมืองที่มีพัฒนาการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ dmc.tv

หัวข้อประเด็น

-การปกครองแบบประชาธิปไตย
-แคว้นวัชชี
-ธรรมาธิปไตย
-โครงสร้างอำนาจ
-การแบ่งแยกอำนาจ

ข้อความต้นฉบับในหน้า

6.10 เปรียบเทียบรัฐศาสตร์ทางโลกกับทางธรรม ในหัวข้อนี้ จะเปรียบเทียบหลักธรรมาธิปไตยกับการปกครองในยุคปัจจุบัน โดยจะ หยิบยกมาเพียงบางประเด็นเท่านั้น คือ ในเรื่องการปกครองโดยคณะบุคคลของแคว้นวัชชี กับ การปกครองระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน เพราะระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นระบอบที่ใช้ กันมากที่สุดในยุคนี้ ส่วนประเด็นอื่น ๆ ได้เปรียบเทียบแทรกไว้ในเนื้อหาบ้างแล้ว การปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้นมีลักษณะบางประการคล้ายกับการปกครองแบบ คณะบุคคลของแคว้นวัชชี กล่าวคือ เป็นระบอบที่ไม่ได้ปกครองโดยคนๆ เดียวแบบระบอบกษัตริย์ แต่ปกครองโดยคณะบุคคลที่มีสิทธิ์ตัดสินร่วมกัน แต่ทั้งนี้ก็มีความต่างกันตรงที่ระบอบ ประชาธิปไตยนั้น เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนสมัครเข้าไปเป็นคณะผู้ปกครองประเทศได้ โดยผ่านการเลือกตั้ง แต่การปกครองของแคว้นวัชชีนั้นสงวนสิทธิ์ไว้เฉพาะคณะเจ้าเท่านั้น ส่วน กระบวนการปกครองมีความคล้ายคลึงกันคือ ระบอบประชาธิปไตยยกเอารัฐธรรมนูญเป็น กฎหมายสูงสุดของการปกครอง ส่วนแคว้นวัชชียกเอา “ธรรม” ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส สอนไว้ เช่น อปริหานิยธรรม เป็นต้น ให้เป็นหลักปฏิบัติสูงสุดของคณะผู้ปกครอง ในการจัดสรรอำนาจนั้นก็มีความคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ระบอบประชาธิปไตยแบ่ง อำนาจออกเป็น 3 ฝ่ายคือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ส่วนแคว้นวัชชีนั้นก็มี การจัดสรรอำนาจออกเป็นฝ่ายๆอย่างชัดเจนไม่ก้าวก่ายกัน เท่าที่ปรากฏอยู่ในอรรถกถา พระไตรปิฎกพบว่า มีการแบ่งอำนาจบริหาร และ อำนาจตุลาการชัดเจนมาก คือ คณะเจ้าวัชรี เป็นฝ่ายบริหารโดยมีคัดเลือกตัวแทนคณะเจ้าหนึ่งท่านให้เป็นพระราชา อำนาจตุลาการนั้น เป็นหน้าที่ของ “มหาอำมาตย์” เป็นต้น ส่วนอำนาจนิติบัญญัตินั้นไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า มีการ แบ่งอำนาจนี้ออกไปต่างหากหรือไม่ แต่จากพระดำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสแก่ เจ้าวัชชีทั้งหลายว่า “ไม่บัญญัติข้อที่ไม่เคยบัญญัติไว้ ไม่เพิกถอนข้อที่บัญญัติไว้แล้ว สมาทาน วัชชีธรรมแบบโบราณ ตามที่บัญญัติไว้แล้ว ประพฤติกันอยู่” พระดำรัสนี้สามารถตีความได้ 2 ประเด็นคือ ประเด็นแรก คือ อำนาจนิติบัญญัติ รวมอยู่กับอำนาจบริหารของเจ้าวัชชีคณะเดียวกัน ประเด็นที่สอง เจ้าวัชชีแบ่งออกเป็น 2 คณะ คือ คณะที่ทำหน้าที่บริหาร และ คณะที่ทำหน้าที่บัญญัติกฎหมาย จากข้อมูลที่มีอยู่นี้ยังไม่อาจ จะสรุปได้ว่าเป็นประเด็นไหนกันแน่ แต่ทั้งนี้อำนาจนิติบัญญัติตามอปริหานิยธรรมนั้นเป็น อำนาจที่ค่อนข้างนิ่งคือ บัญญัติตามประเพณีอันดีงามแต่โบราณของชาววัชชีเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ความเคลื่อนไหวที่สำคัญทางการปกครองจึงอยู่ที่ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการซึ่งมีการ 154 DOU สรรพ ศ า ส ต ร์ ในพระไตรปิฎก
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More