ข้อความต้นฉบับในหน้า
อาทิตย์ช้ากว่าบนโลกเรา 64 วินาทีในหนึ่งปี 1
ความโน้มถ่วงทำให้แสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง
ผลของสนามความโน้มถ่วงทำให้ “กาลอวกาศ” รอบวัตถุใหญ่ๆ ดังเช่นดวงดาวมี
สภาพโค้งงอ ดังนั้นแสงที่เดินทางเข้าใกล้ดวงดาว เช่น ดวงอาทิตย์ จะเดินทางไม่เป็นเส้นตรง แต่จะ
เบนตามผิวโค้งของ “กาลอวกาศ” บริเวณใกล้ๆ ดวงอาทิตย์
หากเปรียบห้วง “กาลอวกาศ” ในจักรวาลหรือในเอกภพเป็นเหมือน “น้ำ” ที่ใส่ไว้ใน
อ่างใบใหญ่ และเปรียบดวงดาวต่าง ๆ เหมือน “ผลส้ม” ที่ใส่ลงไปในน้ำนั้น ตอนที่เรายังไม่ได้
ใส่ผลส้มลงไปในอ่างน้ำ น้ำในอ่างจะมีสภาพราบเรียบเสมอเหมือนกันในทุกตำแหน่ง แต่เมื่อ
เราใส่ผลส้มลงไปแล้ว ผลส้มก็จะแทรกเข้าไปอยู่ในน้ำ ส่งผลให้น้ำบริเวณผลส้มมีความโค้งงอ
ไปตามผิวของผลส้มซึ่งค่อนข้างกลม ความโค้งงอของกาลอวกาศก็มีลักษณะคล้ายๆ ที่กล่าวมา
นี้ เมื่อกาลอวกาศบริเวณใกล้ๆ กับดวงดาวต่าง ๆ โค้งงอ จึงส่งผลให้แสงที่เดินทางผ่านเข้ามา
บริเวณนั้นโค้งงอไปตามความโค้งของกาลอวกาศในตำแหน่งนั้นด้วย
ความโน้มถ่วงยืดความยาวของคลื่นแสง
ความโน้มถ่วงยึดความยาวของคลื่นแสง หมายถึง ความโน้มถ่วงทำให้แสงเกิด
เปลี่ยนแปลงความถี่ของคลื่นจากความถี่สูงไปสู่ความถี่ต่ำ เพราะคลื่นแสงที่มีความถี่สูงจะมี
ความยาวของช่วงคลื่นแต่ละคลื่นสั้น ส่วนคลื่นที่มีความถี่ต่ำจะมีความยาวของช่วงคลื่นแต่ละ
คลื่นยาว แสงที่มีความถี่สูงจะมีสีม่วงส่วนแสงที่มีความถี่ต่ำจะมีสีแดง หากเราอยู่ในบริเวณที่มี
ความโน้มถ่วงต่ำแล้วมองไปยังตำแหน่งที่มีความโน้มถ่วงสูง แสงที่ส่งออกมาจากตำแหน่งที่
ความโน้มถ่วงสูงจะปรากฏต่อเราว่า ความยาวคลื่นยืดขยายออกไป นั่นคือ หากแสงที่ส่งออก
มาเป็นสีม่วงแต่เราจะมองเห็นเป็นสีแดงเพราะอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงที่ไปยืดขยายคลื่นแสงนั้น
3.2.2 ทฤษฎีควอนตัม
ควอนตัม (Quantum) แปลว่า ก้อนพลังงาน” เป็นคำที่ มักซ์ พลังค์ (Max Planck) นัก
ฟิสิกส์ชาวเยอรมันผู้ตั้งทฤษฎีควอนตัมขึ้นในปี ค.ศ.1900 (พ.ศ. 2443)ใช้เรียกพลังงานของ
แสงที่ได้ออกมาจากการเผา “ของแข็ง” จนร้อนและสุกสว่าง มักซ์ พลังค์ สังเกตเห็นว่า พลังงาน
ของแสงที่ให้ออกมานั้นไม่ต่อเนื่องกัน แต่จะมีลักษณะเป็นช่วง ๆ หรือ เป็นก้อนๆ เขาจึงเรียก
1 ไพรัช ธัชยพงษ์ (2549). “หนังสือไอน์สไตน์ หลุมดำ และบิกแบง” หน้า 412.
* มาลี บานชื่น (2531), “แสงและทฤษฎีควอนตัม” หน้า 110.
บ ท ที่ 3
ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ DOU 51