ข้อความต้นฉบับในหน้า
๑๑๐
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราช(กิตฺติโสภณมหาเถระ)
จึงมุ่งความสงบเป็นที่ตั้ง ฯ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงบัญญัติสิกขาบท ก็เพื่อระงับอาสวะโทษ
อันเกิดขึ้นแล้ว และเพื่อระวังอาสวะโทษอันจะพึงเกิดขึ้นอีก โดยใจความก็คือเพื่อรักษาความสงบ
ในท้ายพระปาฏิโมกข์อันสงฆ์สวดทุกกึ่งเดือนสำแดงความข้อนี้ว่า “ตตฺถ สัพเพเหว สมคเคริ
สมุโมทนาเนหิ อวิวทมาเนหิ สิกขิตพพ์ แปลว่า อันภิกษุทั้งหลายทั้งมวลแลจึงเป็นผู้พร้อม
เพรียงกัน ชอบกัน ไม่วิวาทกัน ศึกษาในสัตถุพจน์ อันเป็นหลักสูตรนั้น” ดังนี้ ฯ ในฝ่ายคฤหัสถ์
ทรงบัญญัติศีลมีองค์ ๕ คือ เว้นจากผลาญชีวิต, เว้นจากทำโจรกรรม, เว้นจากประพฤติผิดใน
กาม, เว้นจากกล่าวเท็จ, เว้นจากดื่มน้ำเมา ก็เพื่อความอยู่สงบแห่งมหาชน การบำเพ็ญจิต
ตสิกขา คือศึกษาปัญญาสิกขา คือศึกษาทางปัญญาได้แก่เจริญวิปัสสนา ก็เพื่อกำจัดอาสวะกิเลส
อันเป็นข้าศึกแห่งความสงบจิต
។
ฯ ความสงบเป็นผลที่มุ่งหมายตั้งแต่ภายนอกตลอดถึงภายใน
ปฏิบัติได้อย่างนั้น จึงได้ชื่อว่า อุปสนฺโต ผู้สงบระงับ ฯ มีคาถาพระพุทธภาษิตสาธกความข้อนี้
ว่า
สนฺตกาโย สนฺตวาโจ
วนฺตโลหามิโส ภิกขุ
สนฺตมโน สุสมาหิโต
อุปสนฺโตติ วุจฺจติ ។
แปลว่า ภิกษุผู้มีกายสงบแล้ว มีวาจาสงบแล้ว มีใจสงบแล้ว ตั้งมั่นดีแล้ว มอามิสคือเหยื่อในโลก
อันคายทิ้งแล้ว เรากล่าวว่า ผู้สงบระงับ” ดังนี้ ฯ สันติย่อมเป็นผลแห่งสุขอันไม่เจือด้วยอามิส
เรียกว่า นิรามิสสุข เป็นสุขอย่างสุขุม เป็นสุขอันแท้จริง มีพระพุทธภาษิตว่า “นตฺถิ สนฺติปร
สุข สุขยิ่งกว่าความสงบไม่มี” ฯ ความสุขเพราะได้ลาภได้ยศได้สรรเสริญ เป็นสุขอิงอามิส
เรียกว่า สามิสสุข เป็นสุขเจือด้วยทุกข์ เป็นผลอันจะพึงมีมาด้วยกัน บัณฑิตไม่พิจารณาเห็นว่า
เป็นสุขอันแท้จริง เหมือนสุขเกิดแต่ความสงบ “นิพพาน ปรม วทนฺติ พุทธา ท่านผู้รู้ทั้งหลาย
ย่อมกล่าวพระนิพพานว่าเป็นธรรมอย่างยิ่ง” ก็เพราะพระนิพพานเป็นยอดแห่งความสงบ คำสอน
อันเว้นสันติเสียแล้ว จึงเป็นศาสนธรรมมิได้เลย ในทางคดีธรรม สันติย่อมเป็นคุณสมบัติอย่างยิ่ง
ไม่มีอย่างอื่นจะพึงเปรียบปาน ด้วยประการฉะนี้ ฯ
สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ทรงตั้งและแก้ไขพระราชกำหนดหมายโดยคำแนะนำ
และยินยอมแห่งสภานิติบัญญัติก็ดี พระราชทานอำนาจแก่ศาลยุติธรรมก็ดี โปรดให้จัดการอารักขา
ภายในก็ดี ทรงบำรุงการทหารก็ดี ทรงรักษาพระราชไมตรีกับนานาประเทศให้สนิทสนมก็ดี ก็เพื่อ
ความสงบราบคาบแห่งพระราชอาณาจักรทั้งภายในทั้งภายนอก
ตามราชธรรมแห่ง
พระมหากษัตริย์ นี้จัดเป็นมงคลวิเสสประการที่สอง ฯ