ข้อความต้นฉบับในหน้า
พระมหากษัตริย์ทรงบำเพ็ญขันติราชธรรมเพื่อประชาชนในการปกครองบ้านเมืองและ
กล่าวโดยเฉพาะข้อที่พระมหากษัตริยาธิราชเจ้ามีพระราชหฤทัยกล้าหาญอดทนต่อโลภะ
โทสะ
โมหะ ที่เกิดขึ้นเพราะได้ประสบอารมณ์ที่มายั่วให้เกิด ทรงอดทนต่อเวทนา มีเย็นร้อน เป็นต้น
ทรงตรากตรำอดทนปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ทรงอดทนต่อถ้อยคำที่มีผู้กล่าวชั่ว รักษา
พระราชหฤทัยและพระอาการ พระกายพระวาจาให้สงบเรียบร้อย ดังนี้ จัดเป็นขันติ
เมตตาและขันติย่อมต้องเนื่องกันและกันอาศัยกัน บารมีข้อ ๙ อันได้แก่ เมตตา กับ
ทศพิธราชธรรม ข้อ ๙ คือขันติ ธรรมะทั้งสองข้อนี้แม้จะมีชื่อธรรมะต่างกัน แต่การปฏิบัตินั้น
ย่อมต้องต่อเนื่องกันและอาศัยกันคือเมตตานั้นจะต้องมีขันติช่วยอยู่ จึงจะปฏิบัติไปในเมตตาได้
และได้สม่ำเสมอ แม้ในข้อขันติเหล่านั้นจะเป็นขันติได้ก็ต้องมีเมตตาสนับสนุนอยู่
ในข้อว่าจะเป็นเมตตาต้องมีขันติสนับสนุนนั้น ก็คือ ว่าความมุ่งที่ปรารถนาดีหรือความ
รักใคร่ปรารถนาให้เป็นสุข อันเป็นความหมายของเมตตานั้น ตรงกันข้ามกับโทสะ พยาบาท
เพราะฉะนั้น หากว่าเกิดโทสะพยาบาทขึ้น ก็ต้องมีขันติ คือ อดทนดับโทสะพยาบาทลงไป และ
มีขันติอดทนต่ออารมณ์อันเป็นที่ตั้งของโทสะพยาบาท อนึ่ง ในการอบรมเมตตานั้น นอกจาก
ต้องไม่ให้จิตใจประกอบด้วยโทสะพยาบาทแล้วยังต้องไม่ให้เมตตานั้น
นำให้เกิดราคะสิเนหาอัน
เป็นกิเลส เพราะฉะนั้น จะต้องมีขันติอดทน ต่อราคะสิเนหาอันเป็นตัวกิเลสหากเกิดขึ้น อดทน
ต่ออารมณ์อันเป็นที่ตั้งของราคะสิเนหาด้วย เมื่อเป็นดังนี้ การอบรมเมตตาจึงจะเป็นไปได้
ส่วนข้อทีทีว่าขันตินัน
นั้นต้องมีเมตตาอุปถัมภ์ด้วย ก็โดยที่ว่า คือ ความอดทนนั้นถ้าหากว่า
อดทนอย่างเดียวโดยไม่มีจิตใจที่แช่มชื่นด้วยธรรมะ คือ เมตตาเข้ามาช่วยด้วยแล้วก็ยากที่จะ
ปฏิบัติขันตินั้นได้นานได้สำเร็จดังเช่นเมื่อกิเลสกองโลภก็ดี กองโกรธก็ดีกองหลงก็ดี เกิดขึ้น หรือ
เมื่อพบกับอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของกิเลสเหล่านี้ ตั้งใจว่าจะมีขันติ คือ อดทน เพราะฉะนั้น ในการ
อดทนนั้น จำเป็นที่จะต้องอดทนใจคืออดทนกิเลสแต่หากว่ากำลังของขันตินั้นน้อย ขันติก็จะพ่าย
แพ้ กิเลสก็จะชนะ แต่ถ้ากำลังของขันติมีกำลังแรงจึงสามารถอดทนได้ และในการที่จะทำให้ขันติ
มีกำลังมากขึ้นนั้นก็จะต้องหาทางปราบกิเลส กองโลภโกรธหลงในใจลงด้วย หาทางปราบอารมณ์
อันเป็นที่ตั้งของกิเลสเหล่านั้นลงด้วย โดยที่ต้องอาศัยเมตตา หรือตั้งจิตปรารถนาให้เป็นสุขนี้ แผ่
จิตดั่งนี้ออกไป
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
๑๙๖