ข้อความต้นฉบับในหน้า
ฝ่ายนี้มาประจบกันเข้าแล้ว อำนาจจิตใจที่ประกอบด้วยธรรม คือเมตตาก็ย่อมชนะอำนาจจิตใจที่
ประกอบด้วยโทสะ วิหิงสาในที่สุด แต่ว่ากว่าที่จะชนะได้นั้นก็ต้องประสบความทุกข์เดือดร้อน
เมื่อมีสัจจกิริยาคือการตั้งสัจจะเข้าช่วย ความชนะจึงบังเกิดขึ้นได้ในที่สุด
ในเรื่อง เมื่อจะพิจารณาโดยนัยทางปฏิบัติ ก็ย่อมจะเห็นความได้ว่า ในการที่ธรรมจะ
ต่อสู้กับอธรรมนั้น ก็ย่อมจะประสบความทุกข์เดือดร้อน ถ้าฝ่ายธรรมไม่มีสัจจกิริยา คือการตั้ง
สัจจะให้แน่วแน่แล้วฝ่ายธรรมก็อาจจะแพ้ได้ แต่หากว่าตั้งสัจจะกิริยาให้แน่วแน่จะไม่แพ้ จะชนะ
ความดีคือธรรมนั้นได้ในที่สุด ทั้งอาจจะกลับใจฝ่ายอธรรมให้กลับมาประกอบด้วยธรรมได้
ดังกล่าว ในเรื่อง
เมตตาบารมีแบ่งออกเป็น
๑.
๓
ชั้น คือ
เมตตาบารมี คือ เมตตาของผู้บำเพ็ญเพื่อประโยชน์แห่งพระโพธิญาณ รักษา
ปฏิบัติในเมตตายิ่งกว่ารักษาคนที่รักและทรัพย์สิ้น
๒. เมตตาอุปบารมี คือ เมตตาของผู้บำเพ็ญเพื่อประโยชน์แห่งพระโพธิญาณ รักษา
ปฏิบัติในเมตตายิ่งกว่ารักษาอวัยวะของตนเอง
ต. เมตตาปรมัตถบารมี คือ เมตตาของผู้บำเพ็ญเพื่อประโยชน์แห่งพระโพธิญาณ
รักษาปฏิบัติในเมตตายิ่งกว่าชีวิต
อุเบกขาบารมี ทางพระพุทธศาสนาสอนธรรมไว้ข้อหนึ่ง เรียกว่า อุเบกขาธรรม ข้อนี้
ไม่ใช่อุเบกขาธรรมชาติ ซึ่งไม่ประกอบด้วยความรู้ แต่เป็นญาณอุเบกขา คือ อุเบกขาที่
ประกอบด้วยความรู้ อาศัยอุเบกขาที่มีอยู่เป็นธรรมชาตินี้เองอบรมให้เป็นธรรมปฏิบัติขึ้นท่านได้
รวบรวมอุเบกขาไว้มีลักษณะต่าง ๆ เป็นต้นว่า
อุเบกขาประกอบด้วยองค์ 5 อธิบายตามพระสูตรว่า รับอารมณ์ทางอายตนะทั้ง 5
แล้ว เกิดชอบใจ หรือไม่ชอบใจทั้งสองอย่าง ก็รู้ว่าความชอบใจไม่ชอบใจ เกิดขึ้นแล้วเป็นของปรุง
แต่ง เป็นของหยาบ ส่วนธรรมชาตินี้สงบประณีต คืออุเบกขา เมื่อรู้ดังนี้ ความชอบใจไม่ชอบใจก็
ดับ อุเบกขาก็จะตั้งขึ้นโดยเร็ว
อุเบกขาในพรหมวิหาร
คือ
ความมีใจมัธยัสถ์เป็นกลางในสัตว์ทั้งหลายไม่ตกไปใน
ราคะ คือ ความยินดีติด หรือปฏิฆะ ความยินร้าย พรหมวิหาร มี ๔ ข้อ ได้แก่ เมตตา ความ
รักใคร่ปรารถนาให้เป็นสุข กรุณา ความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ มุทิตา ความพลอยยินดีใน
เมื่อผู้อื่นมีความสุขความเจริญ และอุเบกขา ข้อนี้ที่พึ่งใ
พึงใช้ในเวลาที่ไม่ควร
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
๑๙๒